[บันทึกการเดินทาง] โรมิโอ & จูเลียต 2024

[คัดลอกลิงก์]

หากท่านเป็นกึ่งเทพผู้หลงทาง สามารถสมัครสมาชิกเข้าร่วมกับเราได้ที่นี่ https://t.me/+etLqVX17bGg5ZjBl

คุณต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์นี้ หากยังไม่มีบัญชี กรุณา ลงทะเบียน

×













แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 2450 ไบต์และได้รับ 1 EXP!  โพสต์ 2024-11-13 18:45
โพสต์ 2024-11-15 01:17:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด






ยามเช้าของวันเอโลอิสนัดเพื่อนร่วมภารกิจทุกคนมารวมตัวกันที่หน้าค่าย เธอได้บทเรียนจากการเดินทางในคราวก่อนมามากพอสมควร แค่ไปเซ็นทรัลพาร์กใช้เวลาตั้ง 5 วันในการเดินทางรอบนี้บอสตันเชียวนะ ไกลกว่ากันตั้งเยอะ! ครั้งนี้จะไม่มีการผิดพลาดซ้ำเดิมการโบกรถคนมั่วซั่วแบบนั้นจะไม่ทำแล้ว(?) 

“เอาล่ะ ก่อนอื่นพวกเรามาวางแผนการเดินทางกันก่อน” 

เอโลอิสผู้เป็นตัวตั้งตัวตีของการเดินทางในครั้งนี้เริ่มเกริ่นเรื่องแผนที่จะใช้เดินทาง ดูแล้วเหมือนเธอเตรียมตัวมาอย่างดี แต่จริง ๆ แล้วไม่! เธอแค่ทำเหมือนว่าเตรียมตัวเพื่อไม่ให้สมาชิกร่วมภารกิจตื่นตระหนกถ้ารู้ว่าปกติเธอเป็นพวกชอบไปตายเอาดาบหน้า

“เราจะต้องเดินทางไปที่บอสตันกันเพื่อตามหาหญิงสาวคนหนึ่ง”

“ชื่ออะไรงั้นเหรอ” การ์เซียหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาเพื่อเตรียมจดรายละเอียดที่จำเป็น อีกทั้งยังพกกล้องถ่ายรูปมาด้วย

“แมคเคย์ล่า แอนเดอร์สัน”

“หน้าตาเป็นยังไง มีรูปไหม?” อีธานถามเสริม

“ไม่มี เทพไม่ได้ให้มา”

“แล้วที่อยู่ล่ะ?” การ์เซียถามเพิ่ม

“ไม่รู้ แต่เขาบอกว่าอยู่ที่คฤหาสน์นายพลในกองทัพอเมริกา” เอโลอิสตอบตามข้อมูลอันน้อยนิดที่ได้รับมาจากเทพีอะโฟร์ไดท์

“พวกเราดูมืดแปดด้านมากเลยนะ บอสตันตั้งกว้างใหญ่รู้แค่ชื่อคนแล้วจะไปเจอได้ยังไงกัน แถมชื่อซ้ำนามสกุลซ้ำก็มีตั้งเยอะแยะไป คนที่พวกเราไปเจออาจไม่ใช่คนที่พวกเราตามหาก็ได้” 

“แต่อย่างน้อยเราก็รู้นี่ว่าเธอมาจากตระกูลนายพล ฉันคิดว่าแมคเคย์ล่า แอนเดอร์สันคงไม่ใช่ลูกนายพลทุกคนหรอก…มั้ง” เอโลอิสเองก็ไม่แน่ใจนักแต่ก็ช่วยไม่ได้เธอรับภารกิจนี้มาแล้วจะไม่ทำก็ไม่ได้

“กระผมว่าก่อนที่จะมากังวลเรื่องตามหาคน ไปให้ถึงบอสตันให้ได้ก่อนดีไหมขอรับ?” เคอร์ติสที่เงียบมานานในที่สุดก็หาจังหวะพูดแทรกได้เสียที นกกระทาผู้แสนเฉลียวฉลาดตัวนี้คันปากอยากพูดมานานมันหวังว่าตนเองจะมีประโยชน์บ้าง

“งั้นเราไปขึ้นรถไฟดฮเฟตัสของพ่อฉันได้ไหม?” เอโลอิสถามขึ้น

“ไม่ได้ขอรับ รถไฟจะจอดแค่เมืองหลวงของประเทศต่าง ๆ เท่านั้นไม่จอดเมืองอื่น ฉะนั้นบอสตันก็ไม่จอดขอรับ”

“น่าเบื่อชะมัด คราวหน้าฉันต้องไปคุยกับพ่อหน้าเตาเสียแล้วให้หัดสร้างสถานีไว้ให้ครอบคลุมหน่อย คนเดินทางมันเหนื่อย!”

“เอาไปแบบนี้ไหมในฐานะที่ฉันเป็นนัมเบอร์วันเรื่องข่าวกรองของค่ายฮาล์ฟบลัด ฉันเคยได้ยินมาว่าทีมที่เคยไปตามหาตรีศูลเคยใช้บริการแท็กซี่สามพี่น้องสีเทา เห็นว่ามันเร็วแล้วก็ประหยัดเวลาไปได้เยอะเลย ทุกคนมีความเห็นว่าไง?” 

การ์เซียผู้ที่เป็นประหนึ่งใต้เตียงของค่ายฮาล์ฟบลัดไม่มีเรื่องใดในค่ายที่เธอไม่รู้ได้เสนอแนวทางการเดินทางให้เพื่อนร่วมภารกิจทราบ สีหน้าทุกคนดูมีความหวังขึ้นมาทันที ยกเว้นเคอร์ติสที่ทำหน้าผงะอย่างเห็นได้ชัดแถมตัวสั่นอีกต่างหากราวกับว่ามันรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับบริการนี้


“ทะ…แท็กซี่สามพี่น้องสีเทาเหรอขอรับ…” เคอร์ติสถามเสียงสั่น

“มันทำไมเหรอ?” อีธานเลิกคิ้วถาม

“แบบว่า..มัน—” เคอร์ติสยังไม่ทันได้พูดต่อเอโลอิสก็แทรกเสียงขึ้นมาแบบไม่รับความเห็นต่าง

“ได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน! เอาตามที่การ์เซียว่าเลย…เคอร์ติส! เรียกรถมาด่วน ๆ เราจะไปลงที่ไชน่าทาวน์นิวยอร์กเพื่อต่อรถบัสไปที่บอสตันกัน รถทัวร์จีนน่ะถูกที่สุดแล้วประหยัดค่าเดินทาง เร็ว! โก โก โก เรียกรถ!” 

ใจหนึ่งเคอร์ติสก็ไม่ได้อยากเรียกรถแท็กซี่บ้านี่เลยแต่ก็ไม่อยากขัดใจเอโลอิสผู้เป็นลูกพี่ของตนเอง จึงจำใจต้องเป็นคนเรียกรถแท็กซี่คันนั้นให้ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่เหล่าเดมิก็อดกลุ่มนี้เคยทำไว้แล้วล่ะ ส่วนตัวมันเองคงต้องเตรียมถุงอ้วกให้พร้อม…ทั้งสี่รอเพียงไม่ทันก็มีแท็กซี่ไม่ทราบที่มาพุ่งมาจอดที่ด้านหน้าค่ายอย่างรวดเร็ว

เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดด!!!

“จะไปไหนเด็ก ๆ?”

บานกระจกรถเลื่อนลงอย่างช้า ๆ สภาพแท็กซี่ที่อยู่เบื้องหน้าของเดมิก็อดทั้งสามไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าวิ่งได้ก็บุญแล้ว รถบุโรทั่งขนาดนี้ได้รับใบอนุญาตให้วิ่งในนิวยอร์กได้อย่างไรกัน? ดูจากลักษณะแล้วควรปลดระวางเอาไว้ใช้เพาะเห็ดขายเสียมากกว่า ตกใจกับสภาพรถนั้นไม่เท่าไหร่สิ่งที่ทุกคนตกใจยิ่งกว่าคือหญฺิงชราสามคนที่อยู่ฝั่งคนขับและเบาะข้าง…พวกเขาไม่มีลูกตา! จะมีเพียงแค่คนเดียวที่มีตา 1 ข้าง

“ปะ…ไปที่จอดรถบัสตรงไชน่าทาวน์ค่ะ” เอโลอิสพูดแบบตะกุกตะกัก

“แม่หนูอย่าเสียเวลาอยู่เลยรีบขึ้นมาได้เลยปกติใช้เวลาชั่วโมงนึง แต่ฉันจะทำให้พวกเธอถึงใน 30 นาที”

“30 นาทีเหรอคะ ดีเลยพวกเราไปกัน!” 

เอโลอิสใจชื้นขึ้นมาทันทีเมื่อรถแท็กซี่คันนี้สามารถประหยัดเวลาไปได้ตั้งครึ่งชั่วโมง เธอขึ้นนำคนอื่นเข้าไปก่อนแม้รถจะเก่าเรียกได้ว่าเก๋าเกมอย่างมากเลยล่ะ เคอร์ติสยังคงสั่นกลัวแต่ด้วยความที่มันเกาะไหล่ของเอโลอิสอยู่เลยเหมือนโดนบังคับให้เข้าไปในรถด้วยกลาย ๆ คนอื่น ๆ เมื่อเห็นว่าหัวหน้าภารกิจเข้าไปแล้วก็ตามเข้าไปด้านใน กลิ่นของรถอับมากเสียจนการ์เซียต้องล้วงเอากระปุกน้ำหอมในกระเป๋ามาฉีดสองสามทีเพื่อลดกลิ่น

“เราตายแน่…” คำพูดสั้น ๆ ของเคอร์ติสทำให้เอโลอิสต้องหันมาตำหนิ

“นี่เคอร์ติสหยุดพูดจาไม่เข้าหูได้แล้ว แค่รถแท็กซี่มันเก่าไม่ได้หมายความว่านายจะตายหรอกนะ—”

บรื้นนนนนนนนนนนนน~

แท็กซี่ออกตัวแล้วความเร็วสูงจนหลังของเดมิก็อดทั้งสามติดเบาะ ความเร็วขนาดนี้ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไหร่ เอโลอิสเหลือบไปมองเพื่อนร่วมเดินทางอีกสองคนพบว่าสีหน้าของพวกเขาไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ ก่อนจะหลับมาหันมองที่เคอร์ติสมันมองเธอด้วยสายตาเชิงตำหนิที่เธอตัดสินใจให้ทุกคนขึ้นรถนรกแตกนี่มา 

“เจ้าเอาลูกตามาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ!” 

“ไม่สิ! ต้องเอามาให้ข้า ข้าเป็นคนจับพวงมาลัย”

“อย่ามาแย่งข้านะ!”

เสียงทะเลาะกันของสามพี่น้องที่ไม่มีลูกตาเอะอะโวยวายดังลั่นรถเพื่อแย่งลูกตาที่มีอยู่เพียงดวงเดียว จังหวะที่พวกเขาแก่งแย่งทำให้รถเสียการควบคุมชั่วขณะโย้ไปเย้มาตลอด เหล่าเดมิก็อดทำได้เพียงปิดปากของตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้สิ่งใดพุ่งออกมา 

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บนโอลิมปัสทั้งหลาย ข้าน้อยยังไม่อยากตาย ข้าน้อยยังใช้ชีวิตนกกระทาไม่คุ้มเลย…ฮือ…” เคอร์ติสโอดครวญอ้อนวอนขอทวยเทพเพราะคิดว่าตนคงไม่รอดแล้ว

“อย่าพูดให้เป็นลางได้ไหมเคอร์ติส!” เอโลอิสหันไปเอ็ดนกกระทาของเธอ

“ดูนั่น!” 

อีธานชี้ไปที่ทางข้างหน้ารถบรรทุกกำลังขับสวนมา สามพี่น้องยังไม่หยุดทะเลาะกันรถเคลื่อนตัวไปอยู่ในเลนเดียวกับรถบรรทุกใกล้จะประสานงาเต็มทน เดมิก็อดทั้งหลายกรีดร้องประสานเสียงกันโดยมิได้นัดหมายเป็นจังหวะเดียวกับที่ยัยป้าคนบังคับพวงมาลัยแย่งลูกตามาใส่ในเบ้าตาของตนได้สำเร็จ เธอบังคับพวงมาลัยกลับมาที่เลนเดิมได้อย่างทันท่วงที เรียกได้ว่าหัวใจจะวายตาย รถขับด้วยความเร็วที่อีกนิดจะไวกว่าเสียงอยู่แล้ว

“แยกหน้าก็ถึงแล้วเด็ก ๆ”

สามพี่น้องเลี้ยงหักศอกจนร่างเดมิก็อดเทไปกองกันฝั่งเดียวก่อนจะเบรกอย่างรุนแรงจนหน้าของเอโลอิสกระเด็นไปจูบกับเบาะหน้า โชคดีที่เธอไม่ได้แต่งหน้าอะไรมากมายไม่งั้นคงได้ติดเป็นจิตรกรรมฝาผนังติดหลังเบาะให้ลูกหลานได้ชมสืบไปแน่

“ถึงแล้วทำเวลาได้ดีจริง ๆ” ป้าที่นั่งเบาะข้างคนขับกดหยุดนาฬิกาจับเวลาราวกับกำลังเก็บสถิติความเร็วในการถึงจุดหมาย 

หลังจากที่เอโลอิสแกะหน้าตัวเองออกมาจากเบาะหน้าได้สำเร็จก็รีบเอาเงินยัดมือโชเฟอร์แล้วพากันลงรถอย่างรวดเร็วแต่รถแท็กซี่คันนี้นั้นไวกว่า ทันทีที่ลูกค้าลงหมดมันก็พุ่งออกไปแบบไม่เหลือร่องรอยทิ้งเหล่าเดมิก็อดที่กำลังเข้าอ่อนไว้เบื้องหลัง สาวน้อยผมสีเพลิงทรุดลงกับพื้นมือสัมผัสผืนดินแทบจะก้มลงไปจูบ

“นะ…นี่มันพื้นดิน…พื้นดินจริง ๆ” สีหน้าของเธอดีใจมากที่ได้เห็นพื้นดิน ทำเอาคนแถวไชน่าทาวน์ต่างก็ยืนมองพวกเขาเหมือนคนเห็นคนสติไม่ดีสามคนที่ดีอกดีใจกับการเห็นถนนเป็นครั้งแรก

เมื่อทุกคนตั้งสติได้ก็พากันไปซื้อตั๋วรถบัสเพื่อออกเดินทางไปยังบอสตันแน่นอนว่าคนออกค่าใช้จ่ายต้องเป็นเอโลอิส เนื่องจากทุกคนลงความเห็นว่าตัวการที่ทำให้ทุกคนต้องมาลำบากออกเดินทางทำภารกิจก็ต้องเป็นคนออกตังค์ ส่วนเคอร์ติสเองก็ต้องอยู่ในตำแหน่งเดิมคือซ่อนตัวในกระเป๋าเป้เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของคนอื่น

“รถออกเวลาเที่ยง นี่ก็ได้เวลาแล้วฉันว่าพวกเราต้องขึ้นรถแล้วล่ะ”

การเดินทางใช้เวลา 4 ชั่วโมงโดยประมาณก็มาถึงเมืองบอสตันในที่สุด ด้วยความที่เป็นรถทัวร์จีนจึงมาจอดปลายทางที่ไชน่าทาวน์ของบอสตัน เดมิก็อดทั้งสามเดินทางมาถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยไร้อสุรกายรบกวน เวลานี้ถึงแม้จะยังไม่ใช่ช่วงเย็นของวันแต่ก็คงต้องรีบหาที่พักให้เรียบร้อยก่อนตะวันจะตกดิน

“ถึงบอสตันแล้วพวกเราคงต้องหาที่พักกันก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยออกตามหาแมคเคย์ล่า แอนเดอร์สัน—”

ระหว่างที่เอโลอิสและเพื่อน ๆ กำลังคุยกันเรื่องหาที่พักเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นในตรอกเล็ก ๆ ในย่านไชน่าทาวน์แห่งนี้ เสียงเหมือนกับว่าคนกำลังมีเรื่องกัน ทั้งสามคนเดินตามเสียงไปเพราะมีลางสังหรณ์ไม่ดีนัก เลือดผู้ผดุงความยุติธรรมมันพุ่งพล่าน เมื่อเดินตามเสียงมาก็พบทหารอเมริกันกำลังรุมหาเรื่องหนุ่มจีนคนหนึ่งอยู่

“เลิกยุ่งกับคุณหนูซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าไม่เตือน” หนึ่งในทหารพูดข่มขู่หนุ่มจีนผู้นั้น

“ผมรับปากกับพวกคุณไม่ได้หรอก เรารักกันทำไมคนรักกันถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ล่ะ?”

“ช่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเอาเสียเลย ดูสภาพแกสิพ่อค้าหาบเร่จน ๆ แบบนี้จะไปคู่ควรกับคุณหนูสูงศักดิ์ได้ยังไง!”

“พวกคุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินกัน!”

“ปากดีนักนะ งั้นก็อย่าหาว่ารังแกเลย!!!” 

หมัดพุ่งตรงด้วยพละกำลังมหาศาลเฉกเช่นผู้ที่ได้รับการฝึกในกองทัพมาอย่างดีหมายจะต่อยสั่งสอนชายหนุ่มผู้ดื้อด้าน เขาหลับตาปี๋ทำใจเอาไว้แล้วว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็คงไม่รอดวาสนาของเขาคงมาถึงได้เพียงเท่านี้จริง ๆ แต่แล้ว…

พลั่ก!!!

 ของแข็งกระทบเขาที่หัวของทหารอเมริกันคนนั้นอย่างจัง และฝีมือก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเอโลอิสที่ไปคว้าเอากระทะจีนแถวนั้นมาทุ่มใส่หัวของเขาเต็มแรง ยังดีที่มันไม่แรงพอที่จะทำให้ใครถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งสามคนปรากฏตัวในคราบไอ้โม่ง การมีเรื่องในที่ชุมชนนี่มันเสี่ยงโดนจับมากเกินไปจึงต้องทำการพรางตัวเล็กน้อย

“เจ้าเด็กเปรตพวกนี้มันเป็นใคร!!! จับมัน!!!”

“ซวยแล้วไง!” การ์เซียอุทานขึ้นมา

“แล้วจะยอมให้มันจับเราไปทำปุ๋ยเหรอ สู้กลับสิ!” 

สิ้นเสียงของอีธานการตะลุมบอนก็เริ่มขึ้นศึกระหว่างทหารอเมริกันที่ได้รับการฝึกจากกองทัพปะทะเด็กเดมิก็อดที่ฝึกจากค่ายฮาล์ฟบลัด พลังคนธรรมดากับครึ่งเทพใครมันจะเจ๋งกว่ากัน! แต่ก็อย่างว่าสามคนที่มาทำภารกิจรอบนี้ไม่มีใครเป็นลูกเทพแห่งการต่อสู้หรืออะไรทำนองนั้นเลยสักคนการต่อกรจึงเต็มไปด้วยความทุลักทุเลเอาเรื่อง 

“นายน่ะ หยิบนั่นมาให้หน่อย” เอโลอิสหันไปพูดกับหนุ่มจีนพร้อมชี้ไปที่ไม้หน้าสามที่วางอยู่แถวนั้น

“ดะ..ได้…” เขาหยิบไม้หน้าสามยื่นให้เธอ 

สาวน้อยผมสีเพลิงเอาไม้ไล่ฟาดทหารอเมริกันอย่างดุเดือด กองทัพรัสเซียก็เจอมาแล้วกองทัพอเมริกันจะไปเหลืออะไร หลังจากการต่อสู้อันแสนยาวนานทหารทั้งหมดก็สลบกองอยู่เต็มพื้น แน่นอนว่าทั้งสามคงไม่กะเอาใครถึงชีวิตไม่งั้นมีหวังภารกิจนี้คงต้องไปจบที่การนอนคุกเป็นแน่

“นายเป็นอะไรไหม?” เอโลอิสหันไปถามหนุ่มจีนผู้นั้น

“ผมไม่เป็นอะไร พวกคุณยังโอเคไหม เมื่อครู่ผมเห็นโดนกันคนละหลายดอกอยู่”

“แค่ฟกช้ำนิดหน่อยน่ะ แผลแค่นี้ไกลหัวใจไม่กี่วันก็หายแล้ว” 

“ผมต้องขอขอบคุณพวกคุณจริง ๆ ที่ช่วยผมไว้อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้ตอบแทนสักหน่อย ไปทำแผลกันที่บ้านผมก่อนเถอะ”

ด้วยความที่ยากจะปฏิเสธน้ำใจสุดท้ายทุกคนก็มาลงเอยในบ้านเช่าเก่า ๆ ซ่อมซ่อของหนุ่มจีน เขาหยิบอุปกรณ์ทำแผลราคาถูกมาวางบนโต๊ะตัวเดียวในบ้าน เมื่อเห็นว่าโดยรอบน่าจะปลอดภัยแล้วทั้งสามจึงได้ถอดไอ้โม่งออกเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงเพื่อให้เจ้าบ้านได้ทำแผลให้เสร็จเรียบร้อย

“ต้องขอโทษด้วยที่สภาพบ้านไม่น่าดูนัก”

“ไม่เป็นไรหรอกแค่นายมีน้ำใจพาพวกเรามาทำแผลก็ดีมากแล้ว”

“จริงสิ ผมชื่อวินสตัน สวี พวกคุณล่ะ?”

พอได้ยินชื่อเดมิก็อดทุกคนก็หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ชื่อนี้มัน…ชื่อเดียวกับในจดหมายของเทพีอะโฟร์ไดท์เลยนี่นา!

“ชะ…ชื่ออะไรนะอีกทีซิ?”

“วินสตัน สวี ทำไมเหรอ?”

“อ๋อ ปะ…เปล่า…ฉันชื่อเอโลอิส เพจ คนหัวทองชื่ออีธาน ซาง ส่วนสาวน้อยน่ารักตรงนั้นชื่อการ์เซีย อาร์เมลลินี แล้วก็นี่เคอร์ติสผู้ติดตาม…เอ่อ…สัตว์เลี้ยงน่ะ สัตว์เลี้ยงของฉัน”

“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเลย ไม่คิดว่าจะมีคนเลี้ยงนกกระทาเป็นสัตว์เลี้ยงด้วย มันออกไข่ได้ไหม?”

“เอ่อ…มันตัวผู้น่ะ” สาบานได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนคิดว่าเคอร์ติสออกไข่ได้ อย่างน้อยก็มีเจ้ารอฟีอัสลูกเทพซุสนั่นแหละที่คิดแบบนี้คนนึง

“ว่าแต่พวกคุณมาเที่ยวกันเหรอสำเนียงดูไม่ใช่คนที่นี่เลย” แหงล่ะ ไม่มีใครเป็นคนอเมริกันสักคน

“พอดีพวกเรากำลังตามหาคนน่ะ” การ์เซียเอ่ยขึ้นพร้อมยกกล้องถ่ายรูปถ่ายบรรยากาศพื้นที่อันซ่อมซ่อในเมืองบอสตันไปพลางในใจของเธอคงคิดว่าอยากตีแผ่ออกหนังสือให้คนทั้งโลกได้ทราบตามสไตล์ที่ถนัด

“ให้ผมช่วยไหม เห็นแบบนี้ผมก็พอจะกว้างขวางอยู่ เคยทำงานส่งหนังสือพิมพ์มาก่อนรู้จักแทบทุกบ้านในบอสตันเลยล่ะ”

“แมคเคย์ล่า แอนเดอร์สัน ที่เป็นตระกูลนายพลน่ะนายรู้จักไหม?” อีธานชิงถามทันที

“!?!” สีหน้าของวินสตันดูตกใจอย่างเห็นได้ชัดที่ได้ยินชื่อนี้

“นายรู้จักเหรอ?” เอโลอิสหลอกถามทั้งที่เธอก็รู้ว่าสองคนนี้เป็นคนรักกันเพราะข้อมูลในจดหมายภารกิจว่าไว้แบบนั้น

“ระ…รู้สิ รู้จักดีเลยล่ะ” 

“ทำไมพูดแล้วต้องหน้าแดงด้วย แฟนล่ะสิใช่ไหม?” การ์เซียแซวขึ้นมาทันที

“กะ…ก็ประมาณนั้น…แต่ครอบครัวของเธอไม่ค่อยชอบผมสักเท่าไหร่ เพราะฐานะผมไม่ค่อยดีดูไม่ค่อยมีอนาคต พวกทหารที่คุณจัดการไปวันนี้พ่อเธอก็ส่งมาข่มขู่บอกให้ผมเลิกยุ่งกับเธอไม่อย่างนั้นผมจะเดือดร้อน”

“แล้วนายจะยอมเหรอ?”

“ไม่อยู่แล้ว! เราสองคนไม่ได้ทำอะไรผิด” น้ำเสียงของวินสตันนั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่ตั้งใจ

“ถ้าอย่างนั้นนายพอจะพาพวกเราไปหาแมคเคย์ล่าได้ไหม เรื่องนี้ให้พวกเราช่วยนายเอง!” 

“แต่ก่อนที่จะช่วยเขา ฉันว่าพวกเราหาที่พักกันก่อนไหม นี่ก็เย็นแล้วนะ”

อีธานเอ่ยขึ้นมาทำให้ทุกคนนึกขึ้นได้ทันทีว่าตอนแรกตั้งใจว่าจะมาหาที่พักค้างคืนก่อนจะออกทำภารกิจในวันถัดไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเป้าหมายที่สองก่อนเป้าหมายแรกเช่นนี้ วินสตันมองหน้าทุกคนสลับกันไปมาก่อนที่จะเสนอไอเดียหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาให้กับทุกคน

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้พวกคุณก็พักที่นี่เถอะ เป็นการตอบแทนที่พวกคุณช่วยผมไว้ อาจไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ แต่ช่วงนี้โรงแรมหายากเพราะใกล้เทศกาล กลัวพวกคุณจะได้นอนหนาวข้างนอกแทน”

“ทุกคนว่ายังไง?” เอโลอิสหันไปถามความเห็นคนอื่น ๆ 

“ก็ดีนะ ประหยัดค่าโรงแรม”

“ฉันก็ไม่มีปัญหา” 

“ถ้าอย่างงั้นก็ตกลงตามนี้ พรุ่งนี้ผมจะพาพวกคุณไปหาแมคเคย์ล่า”

“ได้ตามนั้น!”

เมื่อทุกคนตกลงกันได้แล้วในคืนนี้จึงได้พักแรมที่ห้องของวินสตันภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวที่ต้องแก่งแย่งกันทั้งคืนนอนเรียงบนพื้นกันราวกับผู้ลี้ภัย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีที่ให้ซุกหัวนอน อีกอย่างอยู่กับเป้าหมายน่าจะช่วยให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงได้ในเร็ววัน…










แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 49548 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-11-15 01:17
โพสต์ 49,548 ไบต์และได้รับ +20 EXP +20 เกียรติยศ +30 ความกล้า +25 ความศรัทธา จาก ควบคุมโลหะ  โพสต์ 2024-11-15 01:17
โพสต์ 49,548 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก ยอดนักสร้าง  โพสต์ 2024-11-15 01:17
โพสต์ 49,548 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-11-15 01:17
โพสต์ 49,548 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า จาก ทักษะยิงธนู  โพสต์ 2024-11-15 01:17
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
โพสต์ 2024-11-16 00:28:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2024-11-16 13:42






ภารกิจล่วงเลยเข้าสู่วันที่สองทุกคนยังคงอยู่ ณ ที่พักของวินสตัน สวีพ่อหนุ่มหน้ามนคนอพยพแห่งย่านไชน่าทาวน์บอสตัน เหมือนว่าเดมิก็อดทั้งสามและวินสตันจะเข้ากันได้ดีไม่น้อย เขาได้เล่าเรื่องราวความรักระหว่างเขาและคุณหนูแมคเคย์ล่าให้ฟังหลายเรื่อง ต้องบอกเลยว่าทั้งคู่เป็นคู่รักที่น่าชื่นชมอย่างที่เทพีอะโฟร์ไดท์กล่าวไว้ไม่มีผิด ถึงตอนนี้จะเริ่มปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ได้แล้วแต่วินสตันก็ยังมีความคลางแคลงใจเล็กน้อยเกี่ยวกับการตามหาแมคเคย์ล่า แอนเดอร์สันของทั้งสามเพราะมันก็ดูไม่ชอบมาพากลพอสมควรถ้าพูดกันตามจริง


“ว่าแต่ทำไมพวกคุณถึงได้ออกตามหาแมคเคย์ล่าล่ะ หรือว่า…พ่อเธอก็ส่งพวกคุณมา!”


“ถ้าพ่อแมคเคย์ล่าส่งพวกฉันมาป่านนี้นายได้หมกอยู่ในส้วมแล้วย่ะ” การ์เซียพูดขึ้นเมื่อวินสตันตั้งทฤษฎีสมคบคิดแปลก ๆ มาจับผิดพวกเธอ


“ก็จริง…แล้วทำไมถึงอยากตามหาเธอล่ะ?”


ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมาเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาเจอกับคำถามนี้ ถ้าจะบอกว่าเทพีอะโฟร์ไดท์สั่งให้มาช่วย พูดไปใครจะเชื่อ เรื่องเทพกรีกมันหมดยุคสมัยไปพอ ๆ กับตอนศาสนาเผยแพร่นั่นแหละ เอโลอิสใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนจะเอาน้ำตาเทียมมาหยอดตาแล้วเริ่มตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จที่มาจากความมโนล้วน ๆ


“ชีวิตของฉันน่ะมันช่างรันทดนัก เกิดมาพ่อก็ทิ้งไปตั้งแต่ยังเล็ก ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ฉันทนชีวิตบัดซบนี้ไม่ไหวเลยไปหาหมอดู หมอดูบอกว่าห้าร้อยปีก่อนฉันก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมายต้องผ่านด่านเคราะห์ให้ครบ โดนอสนีบาตไปแล้วเก้าหน เกิดเป็นเดรัจฉานอีกเจ็ดชาติ เหลือแค่เพียงด่านเคราะห์สุดท้ายคือการทำให้คนรักกันสมหวังเพื่อแก้กรรม ชีวิตฉันก็จะกลับมาดีขึ้นในเร็ววัน ส่วนทำไมต้องแมคเคย์ล่า แอนเดอร์สันนั้น…อะไรดีวะ…อ้อ!...เจ้ากรรมนายเวรมาเข้าฝันบอกว่าต้องคนนี้เท่านั้นชีวิตฉันถึงจะได้รับการปลดปล่อย มิเช่นนั้นจะต้องจมดิ่งกับความทุกข์ตลอดไป…กระซิก…กระซิก…”


“...” การ์เซียถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ฟังสิ่งที่เอโลอิสเล่า


“ดูหนังจีนมากเกินไปหรือเปล่า…ถามจริงมุกปัญญาอ่อนขนาดนี้ใครเขาจะไปเชื่อ ถ้าเชื่อก็คงเป็นคนที่ซื่อบื้อเต็มทน” อีธานลากคอเอโลอิสและการ์เซียมาสุมหัวกระซิบกระซาบพูดคุยให้เข้าใจ สิ่งที่พูดไปน่ะเด็ก สามขวบยังรู้เลยเถอะว่าเรื่องแต่ง


“เป็นแบบนั้นเองสินะ ผมเข้าใจแล้วล่ะ! ชีวิตคุณนี่น่าสงสารจริง ๆ ผมจะช่วยให้คุณได้พบเธอเอง”


เชื่อจริงด้วยเรอะ!!!


สีหน้าของวินสตันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาเชื่อเรื่องที่เอโลอิสแต่งขึ้นมาแบบสนิทใจไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น คนซื่อขนาดนี้คงมีไม่กี่คนบนโลก เหล่าเดมิก็อดเมื่อได้เห็นว่าเขาเชื่อเสียขนาดนั้นก็เลยตามเลยเออออห่อหมกไปกับเอโลอิสด้วย 


“ชะ…ใช่แล้วล่ะ บังเอิญมากเลยที่คนรักของแมคเคย์ล่าคือนาย ฉะนั้นเรื่องความรักของพวกนายพวกเราจะช่วยเองเพื่อ…แก้กรรม…” แม้จะกระดากปากที่จะพูดเพียงใดแต่อีธานก็เลือกที่จะเล่นไปตามน้ำ


“ขอบคุณทุกคนมากเลย ผมซึ้งใจจริง ๆ ผมเองก็จะช่วยให้พวกคุณแก้กรรมให้สำเร็จนะ” น้ำเสียงที่แสนสดใสและสุดจะเชื่อใจของวินสตัทำให้เหล่าเดมิก็อดแอบรู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่โกหกเขาแต่ทุกอย่างนั่นก็เพื่อให้ความรักของเขาสมหวังนั่นแหละ


“เชื่อเขาเลย…นายนี่มันคนซื่อจริง ๆ” การ์เซียพูดกับตัวเองเบาพอที่วินสตันจะไม่ได้ยินเธอยังคงประหลาดใจไม่น้อยที่บนโลกนี้มีพวกเชื่อคนง่ายขนาดวินสตัน บอกเลยว่าถ้ามีเขาเพียงลำพังความรักครั้งนี้คงไม่มีทางสมหวังแน่ นั่นเป็นเหตุผลที่ตัวประกอบสี่คนอย่างเอโลอิส การ์เซีย อีธานและเคอร์ติสต้องยื่นมือเข้าช่วย ประหนึ่งทีมเพื่อนพี่มากพระขโนง


“ว่าแต่…ที่นายบอกจะทำให้พวกเราได้พบกับแมคเคย์ล่าน่ะ จะทำยังไงเหรอ ได้ข่าวว่าครอบครัวฝ่ายหญิงไม่ชอบนายแล้วจะเจอกันได้ยังไงล่ะ?” 


“คืนนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนแมคเคย์ล่า ผมได้งานพิเศษเป็นเด็กเสิร์ฟในแผนกจัดเลี้ยง ฉะนั้นผมจะลองไปขอหัวหน้างานให้พวกคุณไปรับจ็อบที่นั่นเพื่อให้ได้เข้างานแล้วอาศัยจังหวะคนเยอะในงานลักลอบพบเธอ”


“ว้าว…นายวางแผนมาอย่างดีเลยสินะ แถมยังขยันอีกต่างหากทำงานกี่จ็อบเนี่ย” 


“ผมอยากเก็บเงินซื้อแหวนขอเธอแต่งงานก็เลยต้องขยันหน่อย”


“แต่งงานเหรอ นั่นเยี่ยมไปเลย!” 


“แต่มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก เอาเป็นว่าพวกคุณเตรียมตัวเถอะเดี๋ยวผมต้องไปเร็วหน่อยต้องไปช่วยทีมปูโต๊ะ”


“ได้เลย”



…ณ สถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิด…


เดมิก็อดทั้งสามพร้อมด้วยเคอร์ติสที่แอบอยู่ในกระเป๋าเป้ของเอโลอิสเดินทางติดตามวินสตันมาที่สถานที่จัดงานวันเกิดซึ่งเป็นคฤหาสน์หรูหรา เจ้าของงานเป็นเพื่อนของแมคเคย์ล่า แอนเดอร์สัน ฉะนั้นเรื่องคนของพ่อแมคเคย์ล่าก็หมดห่วงได้หนึ่งเปลาะ เมื่อมาถึงวินสตันก็ขอปลีกตัวไปคุยกับหัวหน้าของเขาเพื่อให้ทั้งสามคนมีโอกาสได้ลอบเข้างานเลี้ยงอย่างถูกระเบียบและไม่โดนการ์ดรวบ รออยู่พักหนึ่งเขาเดินคอตกกลับมา


“ฉันพยายามคุยกับหัวหน้ามาแล้ว เขาบอกคนเต็มแล้วยังไงก็ไม่รับเพิ่มขอโทษทุกคนด้วยนะ”


“ไม่ต้องห่วงฉันมีวิธี หึหึ” เอโลอิหัวเราะในลำคอด้วยเสียงเจ้าเล่ห์ เธอมีแผนการบางอย่างในหัวแล้วล่ะ!



“หัวหน้าครับ! แย่แล้วพนักงานของเราท้องเสียเข้าห้องน้ำไม่หยุดเลยไม่รู้ไม่กินอะไรผิดสำแดงมา แบบนี้ต้องแย่แน่คนงานขาดไปสามคนแล้วเราจะทำยังไงกันดีครับ?” พนักงานคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาหาผู้รับผิดชอบฝ่ายจัดเลี้ยง


“ว่าไงนะนี่งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว หาคนตอนนี้จะไปทันได้ยังไง ถ้าจำนวนคนไม่ครบตามที่แจ้งเจ้าภาพไปโดนปรับบานแน่” หัวหน้าทีมรับผิดชอบเรื่องการจัดเลี้ยงถึงกับเอามือกุมขมับ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตระเตรียมมาเป็นอย่างดีเพื่องานในวันนี้ แต่กลับจะมาล่มเพียงเพราะพนักงานท้องเสียไม่ได้


ขณะที่ผู้รับผิดชอบงานกำลังมืดแปดด้านเหล่าเดมิก็อดทั้งสามก็ทีเหมือนกำลังสนทนากันเนื้อความประมาณว่าเสียดายที่ไม่ได้งานในวันนี้ทั้งที่โปรไฟล์(เก๊)ก็ออกจะเลิศเลอเพอร์เฟ็คแต่ก็ต้องจำใจกลับบ้าน เมื่อได้ยินการสนทนานั้นเขาก็รีบกวักมือเรียกวินสตันไปคุยเพื่อที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้านี้ให้รอดพ้นวิกฤต


“นี่!วินสตัน นายบอกว่านายมีเพื่อนสามคนที่อยากได้งานนี้ใช่ไหม ไปตามพวกเขามาไม่ว่ายังไงก็ต้องตามมาให้ได้ ก่อนที่ฉันจะถูกปรับยับเยิน!”


ท้ายที่สุดเหล่าเดมิก็อดก็ได้รับชุดยูนิฟอร์มเด็กเสิร์ฟมาสวมใส่พร้อมบัตรผ่านพนักงานทำให้สามารถเข้างานได้อย่างง่ายดาย ทุกคนเนียนทำงานเตรียมของ ปูโต๊ะ วางจาน จนถึงช่วงเวลาค่ำของคืนนั้นงานเลี้ยงอันหรูหราโออ่าก็ได้เริ่มขึ้น ธีมงานหลักคืองานเต้นรำหน้ากากแขกเหรื่อจึงสวมใส่ชุดราตรีและสวมหน้ากากจนดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร


“ไม่อยากเชื่อเลยว่าแผนของเธอจะได้ผล”


“แน่นอนสิฉันอุตส่าห์ให้เคอร์ติสแอบเอายาถ่ายไปใส่ในอาหารเที่ยงของพวกเขา แต่ไม่ต้องห่วงหรอกปริมาณไม่มากไม่นานก็น่าจะหาย”


“มาทำภารกิจรอบนี้พวกเราจะได้บุญหรือได้บาปกันนะ” อีธานได้แต่ส่ายหัวให้กับความพิเรนทร์ของเอโลอิสในแต่ละมื้อแต่ละเดย์ แต่ก็ต้องยอมให้มันเกิดขึ้นเพื่อขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน


“ทีนี้ก็ได้เวลาตามหาแมคเคย์ล่า แอนเดอร์สันกันแล้ว ปัญหาในตอนนี้คือพวกเราไม่รู้ว่าเธอหน้าตาเป็นยังไง ก็ต้องหวังพึ่งวินสตันแล้วล่ะ”


“นั่นไง! เธอมาแล้ว”


วินสตันชี้ไปทางเข้างานหญิงสาวในชุดราตรีสีชมพูอ่อนดูสง่างาม ใบหน้าของเธอถูกปิดไว้ด้วยหน้ากากตามธีมของงาน แม้จะมีหน้ากากสวมอยู่แต่วินสตันก็สามารถจดจำเธอได้อย่างแม่นยำ นี่อาจเป็นเพราะพลังแห่งความรักก็เป็นได้


“โอเคคนนั้นสินะเดี๋ยวฉันไปเอง” เอโลอิสทำการล็อคเป้าหมายแล้วเดินตรงดิ่งถือถาดเครื่องดื่มไปเดินเทียบเคียงข้างหญิงสาวที่คาดว่าน่าจะเป็นแมคเคย์ล่า


“รับเครื่องดื่มอะไรไหมคะ?” เธอถามอีกฝ่าย


“ไม่ค่ะขอบคุณ” หญิงสาวไม่สนใจเอโลอิสเลยด้วยซ้ำ กลับกันเธอกลับชะเง้อมองหาใครสักคนอยู่


“หาวินสตันอยู่เหรอ” เอโลอิสแอบกระซิบถามหญิงสาวที่ข้างหู


“คะ…คุณรู้จักเขาด้วยเหรอ!”


“แน่นอนสิ ฉันเป็นเพื่อนของเขา(มั้ง)” 


“จริงเหรอคะ! แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน?”


“ตามมาเดี๋ยวฉันจะพาไปเจอเขาที่สวนหย่อม”


ขณะที่เอโลอิสกำลังนำทางแมคเคย์ล่าไปที่สวนซึ่ง ณ สถานที่นั้นวินสตันและเดมิก็อดคนอื่นกำลังซุ่มรออยู่ที่แห่งนั้นไร้ผู้คนเหมาะแก่การแอบพบกันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนกำลังจะเดินออกจากตัวคฤหาสน์ได้อยู่แล้วเชียว จู่ ๆ ก็มีแขกในงานคนนึงทักเอโลอิสขึ้นมา


“บ๋อย…ขอแชมเปญแก้วนึง”


“หมด” เอโลอิสตอบแบบส่ง ๆ ก่อนทำท่าจะเดินต่อ


“มันจะหมดได้ยังไงก็ถาดที่เธอถือมีแชมเปญเต็มไปหมด” เขาพูดพร้อมชี้ไปที่ถาดที่เธอถืออยู่


ได้ยินดังนั้นเอโลอิสก็หยิบแก้วแชมเปญเทรดต้นไม้ประดับในงานจนหมดทุกแก้วก่อนจะหันไปบอกกับแขกในงานว่า


“ตอนนี้แชมเปญหมดแล้วค่ะ ขอตัวไปเติมก่อนนะคะ” 


พูดจบเธอก็จับแขนแมคเคย์ล่าเผ่นออกจากงานในตัวคฤหาสน์อย่างไว ปล่อยให้แขกคนนั้นยืนงงตาปริบ ๆ อยู่คนเดียวเหมือนยังปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างไม่ได้ ทั้งสองพากันวิ่งมายังสวนหย่อมในมุมอับไร้ผู้คน เมื่อเดมิก็อดคนอื่นเห็นเอโลอิสก็รีบโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้น


“เอาล่ะวินสตันฉันพาคนมาส่งแล้ว”


“ขอบคุณมากนะเอโลอิส” 


“นี่สรุปแล้วเธอเป็นเพื่อนของวินสตันจริง ๆ สินะ” 


แมคเคย์ล่าเอ่ยก่อนที่จะถอดหน้ากากของเธอออกมา บอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้จัดได้ว่าสวยเอาเรื่องเป็นนางเอกหนังได้เลย ตัดไปที่วินสตัน สวีหมอนี่ดูหน้าจืดมากประหนึ่งตัวประกอบในหนังมากกว่าจะเป็นพระเอก อย่างว่าแหละ…ความรักมันไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์หรือหน้าตา


“ใช่แล้ว พวกเขาบอกว่าจะช่วยเราสองคนให้สมหวัง เพื่อแก้กรรมของเขาเอง”


“แก้กรรม?”


“ฉันอยากจะบ้า…ไม่คิดเลยว่าเจ้าวินสตันจะพูดเรื่องแก้กรรมนั่นให้แมคเคย์ล่าฟัง ใครเขาจะไปเชื่อ แบบนี้จบเห่แน่ ๆ” การ์เซียหันไปกระซิบกันเอโลอิสซึ่งเรื่องนี้เอโลอิสเองก็เห็นด้วยว่าเจ้าวินสตันนี่กำลังจะทำให้เสียเรื่อง นอกจากหมอนี่แล้วใครเขาจะมาเชื่อเรื่องพรรค์นี้กัน!


“จริงเหรอ น่าสงสารจังถ้าพวกเขาช่วยเรา พวกเขาจะถูกปลดปล่อยจากบ่วงกรรมใช่ไหม”


แมคเคย์ล่าก็เชื่อเรอะ!!!


เอโลอิสถึงกับเอามือลูบหน้าแล้วหันไปมองเพื่อนร่วมภารกิจทั้งสองของเธอ สีหน้าของสาวน้อยไร้เดียงสาอย่างแมคเคย์ล่า อะไรที่วินสตันพูดมาเธอล้วนเชื่อหมด สองคนนี้นี่มันกิ่งทองใบรับรองแพทย์กันชัด ๆ! สาวน้อยผมสีเพลิงยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองสักเท่าไหร่ว่าคุณหนูที่ได้รับการศึกษาเพียบพร้อมอย่างแมคเคย์ล่า แอนเดอร์สันจะมาเชื่อเรื่องบ้องตื้นเช่นนี้ เลยแอบทดสอบเล็กน้อย


“นี่แมคเคย์ล่า เธอรู้ไหมที่จริงแล้ววินสตันเป็นสไปเดอร์แมน”


“จริงเหรอ วินสตัน!!! เธอเป็นสไปเดอร์แมนจริง ๆ เหรอ!” เธอหันไปถามวินสตันด้วยสีหน้าตื่นเต้น


“โอเคฉันเชื่อแล้วว่ายัยนี่ซื่อบื้อจริง…” เอโลอิสมองทั้งสองด้วยสีหน้าที่หลากหลายไม่ต่างกับอีธานและการ์เซีย ทั้งสามยืนเป็นตัวประกอบอยู่ห่าง ๆ คู่รักที่กำลังกะหนุงกะหนิงกัน


“พวกเธอสองคนคุยกันตามสบายนะไหน ๆ ก็ไม่ค่อยได้เจอกันอยู่แล้วเดี๋ยวพวกฉันจะไปดูต้นทางให้” 


เพื่อตัดปัญหาการ์เซียจึงได้เสนอตัวไปเป็นต้นทาง อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่เป็นก้างขวางคอดูคนพลอดรักกัน อีกอย่างเธอก็ไม่ได้อยากฟังนักหรอกว่าสองคนนี้พูดจาหวานแหววกันเพียงใด เดี๋ยวจะอิจฉาตาร้อนไปเสียเปล่า ๆ เหล่าเดมิก็อดปลีกตัวเดินออกมาจากคู่รักทั้งสองให้ไกลพอที่จะไม่รบกวนเวลาของพวกเขา ระหว่างนั้นก็สอดส่องสายตาคอยตรวจเช็คว่ามีคนผ่านมาแถวนี้ไหม ระหว่างที่กำลังดูต้นทางเอโลอิสก็รู้สึกเหมือนเห็นพุ่มกุหลาบเคลื่อนไหวราวกับว่ามีอะไรแอบซ่อนอยู่ในนั้น เพื่อความแน่ใจว่าจะไม่ใช่สายสืบที่ครอบครัวของแมคเคย์ล่าส่งมาจึงได้เดินไปดูใกล้ ๆ จึงพบกับสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่มีหนามแหลม


“มีเม่นอยู่ในสวน!” เธออุทานออกมา


“นั่นไม่ใช่เม่นขอรับนั่นมันคือพัควัดจิ! มันมีธนูพิษต้องระวังนะขอรับ!” เคอร์ติสที่หลบอยู่ในกระเป๋าของเอโลอิสอยู่นานพุ่งพรวดออกมาเพื่อเตือนภัยเธอ


“แย่ล่ะ…”


เมื่อเดมิก็อดทุกคนภพว่ามีอสุรกายแฝงตัวอยู่ในส่วนก็รีบวิ่งไปหยิบอาวุธของตนเองที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะเก็บจานใช้แล้ว ก่อนจะรีบวิ่งกลับมาเพื่อไล่ล่าพัควัดจิตัวนั้น ธนูของเอโลอิสถูกเล็งยิงครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยความที่เจ้านี่ตัวเล็กประกอบกับไฟสลัวในงานทำให้ยากต่อการจับการเคลื่อนไหวของมันไม่น้อย นอกจากการที่ต้องวิ่งไล่ล่าไปทั่วสวนแล้ว ยังต้องคอยหลบลูกธนูพิษที่เจ้าตัวร้ายยิงใส่ทุกครั้งที่มีโอกาสเล่นเอาเอโลอิสถึงกับเหนื่อยหอบ 


“อย่าคิดว่าจะหนีรอดนะเจ้าตัวจ้อย” 


ดูเหมือนเอโลอิสจะจับจังหวะการเคลื่อนไหวของมันได้แล้วจึงดึงสายธนูให้ตึงแล้วปล่อยลูกธนูพุ่งไปปักที่จุดตายของพัควัดจิได้สำเร็จ ร่างของมันสลายเป็นละอองเหลือไว้เพียงขวดพิษให้ดูต่างหน้า


“ตายสักที” เธอถอนหายใจด้วยความโล่ง


ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรกเมื่อทั้งสามได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากบริเวณที่คู่รักสองคนนั้นกำลังพลอดรักกันอยู่ ทุกคนไม่รอช้าวิ่งกลับไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ได้พบว่ามีชายในชุดทหารอเมริกันสองคนกำลังจะพาตัวแมคเคย์ล่าไป ทีแรกเอโลอิสและเพื่อน ๆ คิดว่าคืนนี้คงได้เจอกับทหารอเมริกันสักฝุ่นแต่ก็โดนแมคเคย์ล่าห้ามไว้


“อย่ามีเรื่องกันเลยเขาเป็นคนของพ่อฉัน แค่ฉันยอมกลับไปกับพวกเขา เขาสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายพวกเธอ ฉะนั้นฉันจะกลับ”


เอโลอิสหันไปมองวินสตันที่กำลังเข่าทรุดอยู่พื้นเพื่อจะถามความเห็น แต่ก็ดูเหมือนว่าพ่อหนุ่มคนนี้ไม่คิดจะสู้เลยด้วยซ้ำ เขายอมทำตามที่คนรักบอกแต่โดยดี มีแต่พวกเดมิก็อดที่ยืนกำหมัดกันฟันกรอดคันไม้คันมืออยากแจกให้สักหมัดแต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้มองดูคุณหนูตระกูลแอนเดอร์สันถูกพาตัวออกจากงานไปแบบไม่เหลือแม้แต่เงา


“ไม่ต้องห่วงพวกเราจะหาทางช่วยเธอออกมาแน่” อีธานตบไหล่วินสตันเบา ๆ เพื่อปลอบใจ


“เจ้าพวกนี้มานั่งทำดราม่าอะไรอยู่ตรงนี้ ฉันจ้างพวกเธอมาเสิร์ฟอาหารนะไม่ได้มาเดินเล่นชมสวน!”


เสียงหัวหน้างานดังไล่หลังมา ทำเอาเหล่าเดมิก็อดและวินสตันต้องวิ่งหน้าตั้งกลับไปทำงานให้ไว หลังจากคืนนี้ผ่านพ้นไปคงจะต้องคิดหาวิธีช่วยวินสตันให้มากกว่าเดิม เอโลอิสคิดว่าเธอประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไปอุปสรรคความรักของทั้งสองนั้นช่างยากเย็นกว่าที่เธอคิดไว้ อย่างไรเสียก็จะลองหาทางอื่นไม่อย่างนั้นคงจะไม่ได้กลับค่ายสักที มิหนำซ้ำเทพีอะโฟร์ไดท์คงได้พิโรธเป็นแน่





(ครั้งแรก) +2 ตื่นรู้







แสดงความคิดเห็น

God
วินสตันที่หูดีเหมือนเขาได้ยินเสียงพูดจากนกของเอโลอิส แต่เขาก็ไม่แน่ใจ  โพสต์ 2024-11-17 12:10
โพสต์ 48263 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-11-16 00:28
โพสต์ 48,263 ไบต์และได้รับ +20 EXP +20 เกียรติยศ +30 ความกล้า +25 ความศรัทธา จาก ควบคุมโลหะ  โพสต์ 2024-11-16 00:28
โพสต์ 48,263 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก ยอดนักสร้าง  โพสต์ 2024-11-16 00:28
โพสต์ 48,263 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-11-16 00:28

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
โพสต์ 2024-11-17 15:29:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด






ปัง ปัง ปัง!


เสียงเคาะประตูห้องดังลั่นตั้งแต่เช้าตรู่ของวัน เมื่อคืนวินสตันและเดมิก็อดทั้งสามทำงานกันจนดึกดื่นกว่างานเลี้ยงจะจบ แขกบางคนจนงานเลิกแล้วก็ยังเมาไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง หาวไปสองสามรอบก็ยังไม่ไปจึงทำให้สุดท้ายแล้วกว่าจะได้เลิกงานก็ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นไปถึงสองชั่วโมงแถมไม่ได้โอทีอีกต่างหาก น่าไปฟ้องกรมแรงงานเสียจริง ได้ข่าวว่ามาทำภารกิจเทพไม่ได้มาเป็นเด็กเสิร์ฟ!


“ใครเนี่ยมาเคาะประตูแต่เช้าเลยคนจะนอน” เอโลอิสพูดเสียงงัวเงียก่อนจะเอาหัวซุกลงไปใต้หมอนเพื่อลดเสียงที่น่ารำคาญนี้


“วินสตันนายไปเปิดประตูสิ” อีธานใช้เท้าเขี่ย ๆ ร่างของวินสตันที่นอนอยู่ข้าง ๆ ให้ลุกไปดูที่หน้าประตัว อย่างไรเสียเขาก็เป็นเจ้าของห้อง แขกที่มาหาจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากแขกของเขาเอง


“ก็ได้ ๆ”


วินสตันที่งัวเงียไม่แพ้กันผมของเขาชี้เป็นนกกระตั้วเดินกึ่งหลับกึ่งตื่นไปเปิดประตูเพื่อดูว่าใครกันที่มาเคาะประตูดังลั่นในยามเช้าเช่นนี้ บานประตูค่อย ๆ แง้มออกก่อนที่วินสตันจะตาเบิกโพลงสร่างในทันใดเมื่อพบว่ากลุ่มคนที่มายืนรอที่หน้าบ้านคือท่านนายพลแอนเดอร์สันพ่อของแมคเคย์ล่าพร้อมด้วยลูกสมุนจำนวนหนึ่งที่คาดว่าเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของเขา


“คุณ…” วินสตันยังตกใจกับบุคคลหน้าประตู นายพลผู้นั้นมองดูสภาพของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาที่เหยียดหยามก่อนจะพูดขึ้น


“ขอคุยด้วยหน่อย ไม่ทราบว่าเข้าไปได้ไหม?”


“สะ…สักครู่ครับ”


วินสตันวิ่งกลับเข้าไปในห้องรีบปลุกเดมิก็อดที่นอนเรียงกันบนพื้นให้ตื่นเพราะมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยมถึงที่ ทุกคนแตกตื่นกระเด้งตัวออกจากที่นอนอย่างเร่งรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนที่จะเชิญให้แขกเข้ามาด้านใน 


นายพลแอนเดอร์สันนั่งลงบนโซฟาเก่า ๆ ภายในบ้าน บรรยากาศโดยรอบเงียบงันเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่ห่อหุ้มทุกสิ่งไว้ แม้แสงแดดอ่อน ๆ จากหน้าต่างจะสาดส่องเข้ามา แต่ความอึมครึมภายในห้องกลับทำให้ทุกมุมดูมืดมนราวกับมีเงามืดล้อมรอบ ดวงตาอันแข็งกร้าวจ้องมองไปที่วินสตัน ด้านหลังมีทหารในบังคับบัญชาสี่คนยืนเป็นแบ็คกราวน์ เอาแต่จ้องไม่พูดอะไร แต่ท่าทางที่เขาพวกเขายืนอยู่ก็เหมือนจะจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวในห้องนี้อย่างเข้มงวด


“อะ…เอ่อ…มาถึงที่นี่มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?” วินสตันทำใจดีสู้เสือแท้จริงความเย็นยะเยือกโดยรอบแทรกซึมเข้าสู่กระดูกไปเรียบร้อย เขาพยายามจะรักษาท่าทีที่ดูสุขุมไว้แต่บรรยากาศโดยรอบก็ทำให้รู้สึกหายใจติดขัดอย่างบอกไม่ถูก


“งั้นฉันก็จะไม่อ้อมค้อม อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าเมื่อคืนนี้นายแฝงตัวเข้าไปในงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อแอบพบกับลูกสาวของฉัน” เขาพูดด้วยเสียงราบเรียบ ความไม่พอใจปรากฏบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด


“ว้า…ความแตกแล้วแย่จัง—โอ๊ย!” 


เอโลอิสพึมพำออกมาก่อนที่จะโดนศอกของการ์เซียกระทุ้งใส่สีข้าง บรรยากาศในห้องยังตึงเครียด ทหารในบังคับบัญชาของนายพลและเดมิก็อดทั้งสามคนรู้ดีว่าการขัดบทสนทนาในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำสักเท่าไหร่ เพราะอาจโดนกินหัวได้


“นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกสาว และนายเองก็ไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ฉันต้องการเลยสักนิด” คำพูดที่ท่านนายพลพูดออกมาคือความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้


“ผมรู้ครับ”


วินสตันทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับความจริง ถึงกระนั้นเขาเองก็ไม่อยากที่ยอมแพ้ให้กับความรักครั้งนี้ความจริงใจของเขาที่มีต่อแมคเคย์ล่ามันเกินกว่าเรื่องฐานะทางสังคม เขาคิดว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเป็นชายที่เหมาะสมกับเธอได้


“นายต้องการเท่าไหร่” 


ท่านนายพลแบมือก่อนที่ลูกน้องคนหนึ่งจะล้วงเอาสมุดเช็คจากในเสื้อสูทออกมาให้เจ้านายพร้อมปากการาคาแพงหูฉี่ด้ามหนึ่ง มือของท่านนายพลยุกยิกเล็กน้อยเหมือนกำลังเขียนอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็วางกระดาษเช็คลงบนโต๊ะในนั้นถูกกรอกรายละเอียดต่าง ๆ และเซ็นเรียบร้อยแล้วมีเพียงจุดเดียวที่ยังไม่เขียนคือจำนวนเงิน


“หมายความว่ายังไงครับ?” วินสตันมองดูเช็คสลับกับมองหน้าท่านนายพลแม้เขาจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่านี่คือการจ่ายเงินเพื่อจ้างเขาให้ออกห่างจากแมคเคย์ล่าแต่ก็ยังอยากถามเพื่อให้แน่ใจ


“นายสามารถใส่จำนวนที่ต้องการได้เลย ฉันรู้ว่านายน่ะร้อนเงิน มันสามารถทำให้นายสบายขึ้นได้เลยนะ…นายน่ะ…ต้องการข้าวกินมากกว่าความรักเชื่อฉันสิ”


“ที่คุณหมายถึงก็คือ?...”


“รับเงินก้อนนี้ไป แล้วหายไปจากชีวิตของลูกสาวฉันซะ!” 


ท่านนายพลพูดเสียงต่ำแฝงไปด้วยความหนักแน่น คำพูดนั้นมันเหมือนกับการตัดสินชะตาชีวิตของวินสตัน แต่ในใจของเขากลับยังคงมีคำถามหนึ่ง…เขาจะยอมรับเงินก้อนนั้นเพื่อแลกกับการสูญเสียคนที่เขารักจริงหรือ?


“นี่การ์เซียไม่คิดเหรอว่าฉากนี้มันคุ้น ๆ ยังกะกำลังดูเรื่อง F4 แหนะ ถ้าตามในเนื้อเรื่องนะฉากต่อไปต้องมีสาดเกลือใส่พ่อแมคเคย์ล่าแล้ว”


เอโลอิสแอบกระซิบข้างหูการ์เซีย บางทีเธอควรจะเดินไปดูในตู้เสียหน่อยว่าเกลือสำหรับทำผักดองยังเหลือไหมจะได้เตรียมไว้เผื่อได้มีเหตุการณ์สาดเกลือเกิดขึ้นจริง ๆ 


“พูดบ้าอะไรน่ะ เธออ่านนี่ติดซีรีส์มากเกินไปแล้วนะ” การ์เซียกระซิบกลับ


ขณะที่ความตึงเครียดกำลังทวีคูณภายในห้อง จู่ ๆ เคอร์ติสก็พุ่งออกมาจากไหนไม่รู้ บินวนไปมาอย่างไม่รู้ทิศทาง มันตรงมาที่โต๊ะตัวนั้นแล้วทำการ ‘อึ’ ลงบนแผ่นเช็คที่นายพลวางไว้ ก่อนที่มันหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างรวดเร็ว แผ่นเช็คที่เต็มไปด้วยรอยอึทำให้ทุกคนในห้องเงียบไปชั่วขณะ


“...”


ท่านนายพลถึงกับพูดไม่ออกเขาขยี้ตาราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะหยิบแผ่นเช็คขึ้นมา ดวงตาของเขามองไปที่รอยอึอย่างพินิจพิเคราะห์ ข้อมูลในกระดาษเลือนลางไปหมด


“มะ…เมื่อกี๊มันอะไรกัน นกนั่นมาจากไหนกัน นายเลี้ยงนกงั้นเหรอ?”


“ผมเปล่าครับ” วินสตันปฏิเสธ


ตัดภาพไปที่เอโลอิสที่ยืนกลั้นขำแทบตายกับภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ในใจก็อดที่จะชื่นชมเคอร์ติสไม่ได้ที่โผล่มาได้ถูกที่ถูกเวลา เห็นทีจะต้องให้รางวัลเสียแล้ว ตัวเอโลอิสเองก็ไม่ได้ยอมรับออกไปว่านกกระทาที่โผล่มาเมื่อครู่เป็นนกของเธอ ได้แต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้มองเพดานไปเรื่อย


“บ้านนี้สกปรกเสียจริง แม้แต่นกพิราบข้างนอกก็เข้ามาเพ่นพ่านได้”


“เอ่อ…ท่านครับเมื่อกี๊นกกระทาครับ” ลูกน้องที่ยืนเป็นแบ็คกราวน์ด้านหลังช่วยแก้ความเข้าใจผิดให้ท่านนายพล


“นกกระทาบ้าอะไรมาโผล่ในเมืองแบบนี้!”


“แถบนี้เป็นไชน่าทาวน์บางทีมันอาจจะหลุดมาจากร้านอาหารจีนสักที่แถวนี้ก็ได้มั้งครับท่าน”


“เฮ้อ…ช่างเถอะ งั้นฉันจะเขียนแผ่นใหม่—” นายพลเริ่มจรดปากกาลงบนเช็คแผ่นใหม่ แต่แล้ว…


แหมะ!


อึอีกก้อนร่วงหล่นลงมาใส่กระดาษเช็ค พอท่านนายผลเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบว่าคราวนี้มันคือนกพิราบจริง ๆ ที่เพิ่งบินเข้ามาจากหน้าต่างของห้องที่เปิดทิ้งไว้อึใส่เช็คไม่พอ ยังแจกให้บนหัวท่านนายพลอีกหนึ่งแหมะ ทำเอาลูกน้องทั้งสี่คนที่ติดตามมาด้วยถึงกับจ้าละหวั่นในการหาผ้ามาเช็ดให้ท่านนายพลไม่เป็นอันทำอย่างอื่น ส่วนเดมิก็อดทั้งสามคนยืนตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งเพราะนกพิราบที่ทุกคนเห็นนั้นในสายตาของเดมิก็อดรู้แจ้งเห็นจริงว่านี่มันคือฮาร์ปี้ต่างหาก!


“แย่ล่ะ…เอาไงดี” อีธานหันไปถามสองสาว


“คงต้องรีบกำจัดแล้วล่ะ” การ์เซียพูดเสริม เธอเหลือบไปมองทางฝั่งของนายพลที่ยังคงโวยวายและวุ่นอยู่กับการเช็ดอึนก วินสตันเองก็ไปช่วยทางฝั่งนั้นเลยตั้งใจว่าจะอาศัยจังหวะชุลมุนรีบกำจัดฮาร์ปี้โดยเร็วก่อนที่คนพวกนี้จะทันสังเกต


ฮาร์ปี้ส่งเสียงกรีดร้องแหวกอากาศพร้อมกระพือปีกกว้างของมัน เหล่าเดมิก็อดรีบไปคว้าอาวุธของตนที่เก็บไว้ออกมาเพื่อเตรียมตัวที่จะต่อกรกับมัน อีธานหยิบมีดสั้นออกมาพร้อมปะทะ เจ้าฮาร์ปี้คำรามก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่เขาด้วยกรงเล็บมี่แหลมคม เขาหลบหลีกการโจมตีครั้งแรกได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะกระโจนแทงมีดไปที่ปีกของมัน ฮาร์ปี้คำรามออกมาอย่างเจ็บปวดปีกของมันเริ่มสูญเสียสมดุล ทว่ามันกลับยังไม่ยอมแพ้มัน พุ่งกลับมาอีกครั้งพร้อมกับปีกที่ขยายออกเต็มที่กระพือพัดอย่างแรงจนกระแสลมตีหน้าทุกคน


การ์เซียกระโดดหลบด้วยความเร็วสูง เธอพยายามฟันดาบไปที่ฮาร์ปี้แต่พลาดไปนิดเดียว เธอพยายามฟันดาบอีกครั้งคราวนี้ไปที่ปีกอีกข้างของมัน ความคมของดาบดตัดผ่านขนของมันจนบางส่วนหลุดลอยไปในอากาศ ตอนนี้เจ้าฮาร์ปี้ไม่สามารถบินได้อีกต่อไปกลายเป็นเป้านิ่งทำให้เอโลอิสที่กำลังยืนเล็งธนูอยู่ทำการปล่อยธนูดอกแรกและดอกสุดท้ายปักเข้ากลางอกปลิดชีพมันได้ในที่สุด


การต่อสู้ของเดมิก็อดและฮาร์ปี้นั้นดุเดือดแต่ท่านนายพล วินสตัน และทหารคนอื่นที่เพิ่งเสร็จจากเรื่องการเช็ดอึนกพิราบกลับหันมาได้จังหวะตอนที่เอโลอิสกำลังสังหารฮาร์ปี้ ภาพตรงหน้าของพวกเขาคือเอโลอิสที่กำลังยิงหนังสติ๊กใส่นกพิราบจนร่วงลงมาตายในที่สุด ก่อนที่ตัวเธอจะรู้ตัวว่าถูกเห็นเข้าให้แล้ว


“ถึงกับต้องใช้หนังสติ๊กยิงนกเลยเหรอ” ท่านนายพลหันไปถามเธอ


“อะ…เอ่อ…ก็…มันอึใส่หัวท่านไงคะ หนูเลยล้างแค้นให้ ฮ่า ๆ” เธอหัวเราะกลบเกลื่อน


“ขอบคุณ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมให้ลูกสาวของฉันมาคลุกคลีกับพวกเธอหรอกนะ เรามาเข้าเรื่องเดิมของเรากันต่อ” ท่านในพลจัดเองชุดตัวเองให้เรียบร้อยดังเดิมแล้วทำท่าจะหยิบเช็คมาเขียนเป็นใบที่สาม


“ขะ…ขอโทษนะครับ”


เสียงของวินสตันทำให้ปากกาในมือของท่านนายพลหยุดชะงักลง ดวงตาที่แข็งกร้าวจ้องมองไปที่หนุ่มเอเชียหน้าจืดพร้อมหรี่ตา รอฟังว่าเขากำลังจะพูดอะไรออกมา


“ผมคงไม่อาจรับเงินของท่านไว้ได้ ผมรักแมคเคย์ล่าจากใจจริง เงินพวกนี้ไม่สามารถซื้อผมได้หรอกครับ”


“คางคกอยากกินเนื้อหงส์!!!” ท่านนายพลทุบโต๊ะ ทำเอาทุกคนในห้องถึงกับสะดุ้ง


“เอ่อ…ใจเย็น ๆ นะคะท่านนายพล ท่านไม่คิดเหรอคะว่าลูกสาวท่านโชคดีนะคะที่มีผู้ชายดี ๆ แบบนี้ในชีวิต วินสตันก็เป็นคนดีไม่เลวเลยแถมยังขยันอีกต่างหาก” เอโลอิสพยายามพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง แม้ในใจจะแอบกังวลว่าคำพูดของเธอจะสามารถเปลี่ยนใจท่านในพลได้ไหม…แต่ก็คิดแล้วล่ะว่าคงไม่


“แต่มันจนไง! คนจน ๆ แบบนี้จะเลี้ยงลูกสาวฉันให้สุขสบายได้ยังไง”


“บางทีอนาคตเขาอาจจะ…ถูกหวยก็ได้นะคะ…” ประโยคหลังเอโลอิสพูดเสียงอ่อย


“ไม่รู้ล่ะยังไงฉันก็ไม่มีทางยอมรับไอ้เจ๊กนี่เป็นลูกเขยแน่!”


คำพูดของนายพลประโยคนี้ทำเอาลูกของเทพเฮอร์มาโฟร์ไดตัสอย่างการ์เซียถึงกับขึ้น คำพูดที่ดูเหยียดเชื้อชาติเช่นนั้นเธอไม่มีทางรับได้เกือบจะไปต่อยหน้านายพลแล้วถ้าไม่มีเอโลอิสกับอีธานรั้งแขนเอาไว้แล้วบอกให้ใจเย็นลงก่อน


“ในเมื่อแกไม่ยอมรับข้อเสนอของฉันก็เตรียมตัวรับมือกับความฉิบหายที่จะตามมาได้เลย!!!...กลับ!!!” ท่านนายพลลุกขึ้นจากโซฟาเดินขึงขังออกไปจาห้องของวินสตันไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาหัวร้อนแค่ไหน 


“ไม่ส่งนะคะ” เอโลอิสตะโกนไล่หลังไป


ในเมื่อตอนนี้ได้ถูกประกาศสงครามเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันอีกต่อไป ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรในอนาคตเหล่าเดมิก็อดก็จะต้องหาทางช่วยวินสตันให้รอดพ้นวิกฤตพ่อตาไปให้ได้ ที่แน่ ๆ คงต้องเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่ท่านนายพลกำลังจะทำกับชีวิตวินสตันต่อจากนี้ แน่นอนว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย พลังเทพที่มีคงต้องถูกงัดมาใช้ในเร็ววันแน่นอน











แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 37568 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-11-17 15:29
โพสต์ 37,568 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +30 ความกล้า จาก ควบคุมโลหะ  โพสต์ 2024-11-17 15:29
โพสต์ 37,568 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา จาก ยอดนักสร้าง  โพสต์ 2024-11-17 15:29
โพสต์ 37,568 ไบต์และได้รับ +7 EXP +15 ความกล้า จาก หน้ากากเท็นงุ  โพสต์ 2024-11-17 15:29
โพสต์ 37,568 ไบต์และได้รับ +7 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +10 ความกล้า จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-11-17 15:29
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
โพสต์ 2024-11-18 23:00:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด






วันแรกหลังจากการประกาศสงครามของท่านนายพลเมื่อวานนี้ ทุกคนยังคงสุมหัวเพื่อปรึกษาถึงวิธีการรับมือ อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนนึงถึงแม้จะมีอำนาจมากมายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยกพลรถถังมาถล่มบ้านใครต่อใครได้ง่ายดายขนาดนั้น จึงน่าจะยังพอมีเวลาในการเตรียมตัวป้องกันแผนสกปรกของเขา


“ฉันต้องชื่นชมในความกล้าหาญของนายนะวินสตันหากนายพลนั่นคิดจะเล่นสกปรกอะไรพวกฉันจะคอยอยู่ช่วยนายเองไม่ต้องห่วง”


“ขอบคุณทุกคนมากนะ แต่ผมเกรงใจหากทุกคนต้องมาเดือดร้อนเรื่องของผม”


“เกรงจงเกรงใจอะไรกัน นายลืมไปแล้วเหรอเรื่องของนายก็คือเรื่องของฉันเหมือนกันเพราะฉันต้อง...แก้กรรม” เอโลอิสยกเรื่องที่เธอโกหกเมื่อวันก่อนมาเป็นข้ออ้างที่จะคอยติดตามวินสตันและคนรักของเขาต่อ อย่างไรเสียตอนนี้จะปล่อยให้วินสตันตัดพวกเธอออกจากสมการไปไม่ได้เพื่อไม่ให้ภารกิจล้มเหลว


“จริงด้วย ผมลืมเรื่องนั้นไปสนิทเลย”


“เวลานี้ฉันว่าแมคเคย์ล่าคงจะกระวนกระวายใจน่าดู เราควรส่งข่าวไปบอกเธอสักหน่อยนะว่าทุกคนยังสบายดีไม่ต้องห่วง” การ์เซียพูดขึ้น เดาได้เลยว่าหลังจากที่แมคเคย์ล่าถูกพาตัวกลับไปที่คฤหาสน์จะต้องถูกกักบริเวณอยู่ที่ใดที่หนึ่งในนั้นแน่นอนถึงได้เงียบหายเช่นนี้ การปล่อยให้เธออยู่เผชิญสถานการณ์นั้นเพียงลำพังคงทำให้เธอร้อนใจไม่หยุดแน่


“ผมเข้าไปในเขตบ้านเธอไม่ได้หรอก คนของท่านนายพลทุกคนล้วนรู้จักผม จะเรียกว่าเป็นบุคคลต้องห้ามของคฤหาสน์เลยก็ได้”


วินสตันถอนหายใจยาว ทุกครั้งที่เขาพยายามแวะเวียนไปหาแมคเคย์ล่า มักจะถูกเหล่าทหารหยุดยั้งราวกับว่าเป็นอาชญากร แม้แต่การเดินเข้าใกล้กำแพงรั้วบ้านก็ทำให้เขาถูกจับตามองราวกับเป็นผู้บุกรุกไปแล้วทั้งที่ยังไม่ก้าวขาเข้าไปเลยด้วยซ้ำ เขารู้ดีว่าการเฝ้ามองเธอจากที่ไกล ๆ เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้


“ทหารพวกนั้นห้ามนายเข้า แต่ไม่ได้ห้ามพวกเราเข้านี่” น้ำเสียงของเอโลอิสเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่แววตาส่องประกายความซุกซนราวกับเด็กที่เพิ่งคิดแผนการบางอย่างได้


“เธอคิดอะไรพิเรนทร์ได้อีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย” การ์เซียหรี่ตามองเอโลอิสอย่างไม่ไว้ใจ


“อย่ามองฉันแบบนั้นสิ ฉันก็แค่หาทางส่งสารให้วินสตันเท่านั้นเอง…นี่! นายเขียนจดหมายสักฉบับสิ เดี๋ยวฉันจะหาทางเอาไปส่งให้แมคเคย์ล่าเอง” 


“แน่ใจเหรอว่าจะส่งได้ คฤหาสน์ท่านนายพลมีการคุ้มกันความปลอดภัยอย่างดีไม่ใช่จะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปได้นะ” วินสตันไม่ค่อยแน่ใจในความคิดของเอโลอิสสักเท่าไหร่


“วางใจเถอะฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวัง”


แม้จะยังไม่รู้ว่าเอโลอิสจะเข้าไปที่คฤหาสน์นั่นได้อย่างไรแต่ด้วยความเป็นห่วงแมคเคย์ล่า วินสตันจึงเดินไปหยิบกระดาษกับปากกาเขียนจดหมายเพื่อส่งไปหาหญิงสาวที่เขารัก เมื่อเสร็จก็ยื่นให้กับเอโลอิส


“รับภารกิจ! อีธานนายไปกับฉัน” เอโลอิสรับเอาจดหมายฉบับนั้นมาไว้กับตัวเก็บไว้อย่างดีในกระเป๋าของเธอ ก่อนจะหันไปพูดกับอีธาน


“แล้วทำไมเป็นฉันล่ะ?” อีธานยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าเหตุใดคนที่ต้องไปคฤหาสน์นายพลต้องเป็นเขา


“ทีมของเราต้องการตีนแมว” 


“หมายความว่า?” 


“ใช่ นายเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มีทักษะโจรอย่างหาตัวจับยาก ฉะนั้นนายต้องไปกับฉัน” นี่เป็นหนึ่งเหตุผลเลยที่เอโลอิสเลือกลูกของเทพเฮอร์มีสเข้ามาอยู่ในทีมทำภารกิจของเธอ ในเวลาคับขันเช่นนี้สายเลือดโจรมักใช้ได้เสมอ


“แล้วฉันล่ะ?” การ์เซียชี้ที่ตัวเอง


“เธออยู่กับวินสตัน ฉันไม่ไว้ใจที่จะให้เขาอยู่คนเดียว อย่างน้อยต้องมีใครสักคนคอยคุ้มครองเขา”


“ได้” การ์เซียรับคำ อย่างน้อยมันก็น่าจะสบายกว่าการลักลอบเข้าคฤหาสน์ที่มีความคุ้มกันแน่นหนาเป็นไหน ๆ 


“ตกลงตามนี้ เคอร์ติส! เข้ามาในกระเป๋า”


 เอโลอิสกางกระเป๋าออกให้นกกระทาของเธอเดินเข้าไปด้านใน วินสตันรู้สึกทึ่งในความแสนรู้ของมัน บางทีก็คิดในใจว่าเอโลอิสฝึกนกตัวนี้ได้ยังไงกัน แถมวันก่อนเขารู้สึกเหมือนว่านกตัวนี้พูดได้แต่นั่นก็อาจเป็นความเข้าใจผิดของเขาเอง นกกระทาจะไปพูดได้ได้ยังไง มันไม่ใช่นกแก้วนกขุนทองเสียหน่อย


“พวกคุณดูแลตัวเองด้วยนะ”


“ไม่ต้องห่วงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ ว่าแต่…” เอโลอิสเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


“อะไรเหรอ?” วินสตันเลิกคิ้วถาม


“คฤหาสน์นายพลอยู่ที่ไหนเหรอ?”


ทุกคนในห้องถึงกับเหม่อเมื่อเจอคำถามของเอโลอิสเข้าไป การ์เซียถึงกับต้องลากคอเอโลอิสไปเทศนาหนึ่งชุดในความคิดอะไรไม่รอบคอบของยัยเด็กผมแดงคนนี้ แต่สุดท้ายแล้ววินสตันก็ได้ทำการวาดแผนที่ให้ไปหนึ่งแผ่น และเปลี่ยนแผนปฏิบัติการเป็นช่วงกลางคืนแทนเพื่อที่จะลอบเร้นเข้าไปได้ง่ายขึ้น



ความเงียบสงัดของค่ำคืนปกคลุมทั่วทั้งบริเวณคฤหาสน์ท่านนายพล ท้องฟ้าที่ยามนี้ปกคลุมด้วยหมอกบาง ๆ ราวกับเป็นฉากที่คอยปกป้องความลับที่ซ่อนอยู่ในรั้วสูงใหญ่ของคฤหาสน์ การเดินทางครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับอีธานผู้ที่มีทักษะในการอ่านแผนที่แม้ว่าวินสตันจะวาดมาเสียจนเอโลอิสยังดูไม่เข้าใจ แต่กับลูกเทพเฮอร์มีสเขากลับแกะรายละเอียดของแผนที่ได้อย่างง่ายดายจนทุกคนสามารถเดินทางมาถึงที่นี่ได้สำเร็จ


เอโลอิส อีธานและเคอร์ติสซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดห่างจากคฤหาสน์พอสมควร ดวงตาของพวกเขาจับจ้องไปยังประตูทางเข้าหลักที่ปิดสนิท เห็นเงาของทหารที่ยืนเฝ้าประตูรอบ ๆ ระยะทางสั้น ๆ ระหว่างพวกเขากับทางเข้าเต็มไปด้วยความเสี่ยงเพราะที่แห่งนี้ได้รับการคุ้มกันแทบทุกจุด


“มีทหารเฝ้าเต็มหน้าบ้านเลยแฮะ” อีธานพูดพลางใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตการณ์ประตูหน้า


“มันต้องมีสักช่องทางที่เป็นจุดบอดแหละ” 


ขณะที่กำลังใช้ความคิดสายตาของเธอก็ไปสะดุดเข้ากับรถหรูที่จอดอยู่ข้างในรั้วคฤหาสน์โชคดีที่ประตูรั้วของบ้านไม่ได้ทึบจึงทำให้เธอสามารถมองเห็นรถทุกคันในจอดเรียงรายในนั้นได้อย่างชัดเจน บ้านตระกูลแอนเดอร์สันนี่รวยสมคำร่ำลือ เอโลอิสรวบรวมสมาธิสายตาจับจ้องไปที่รถที่จอดอยู่ใกล้ ๆ รั้ว เธอใช้พลังควบคุมโลหะ กระแสจิตของเธอถูกส่งไปยังรถเพื่อทำให้รถที่จอดอยู่เริ่มขยับ 


ทันใดนั้นรถที่จอดอยู่ก็เริ่มขยับด้วยพลังที่ควบคุมไม่ได้ มันหมุนตัวอย่างรุนแรงก่อนที่จะพุ่งชนรั้วของคฤหาสน์อย่างแรง ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดึงดูดความสนใจของทหารโดยรอบ หน่วยที่อยู่ประจำรั้วแต่ละจุดต่างกรูกันไปบริเวณหน้าประตูเพื่อตรวจสอบเหตุประหลาดนี้ จังหวะนั้นเองที่เดมิก็อดทั้งสองรีบใช้ช่วงชุลมุนลอบไปด้านหลังคฤหาสน์ พวกเขาทำตัวเงียบเชียบเหมือนกับเงาก่อนจะปีนข้ามกำแพงสูงโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยในคฤหาสน์แห่งนี้


“เอาล่ะเข้าเขตคฤหาสน์ได้แล้วที่เหลือก็แค่หาห้องของแมคเคย์ล่าให้เจอ”


“ถามหน่อย ทำไมเธอต้องสวมไฟฉายส่องกบบนหัวด้วยเนี่ย?” อีธานที่อดสงสัยมาได้สักพักแล้วตัดสินใจถามออกไป


“นายไม่เป็นโรคตาบอดกลางคืน นายไม่เข้าใจหรอกว่าสายตาฉันตอนกลางคืนมันแย่” 


“แต่ทำแบบนี้คนก็จะจับได้น่ะสิ” อีธานเริ่มเป็นกังวลในข้อจำกัดทางร่างกายของเอโลอิสที่อาจจะทำให้พวกเขาเสียแผนได้


“ขอแค่เข้าไปด้านในคฤหาสน์ได้แสงก็น่าจะเพียงพอแล้วล่ะ” เอโลอิสตอบเพราะเธอก็ไม่คิดว่าจะเปิดไฟฉายนี่ตลอดเวลาอยู่แล้ว


เอโลอิสและทีมหลบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้หนาบริเวณสวนหย่อมของคฤหาสน์ หน้าต่างชั้นล่างแง้มเปิดไว้บานหนึ่ง พวกเขายังคงนิ่งเงียบดูสถานการณ์อย่างใจเย็นฟังเสียงทหารลาดตระเวนที่เดินย่ำไปมาอย่างสม่ำเสมอดูเหมือนว่าพวกเขาก็กำลังจะไปบริเวณหน้าประตูใหญ่ที่เอโลอิสได้ก่อเรื่องไว้


“ทางสะดวกแล้วไปกันเถอะ”


พวกเขาคลานต่ำไปที่ขอบหน้าต่างอย่างรวดเร็ว พยายามแง้มบานหน้าต่างให้เปิดกว้างพอที่จะเข้าไปได้และปีนหน้าต่างเข้าไปพยายามที่จะไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ ต้องยอมรับว่าฝีเท้าของอีธานเบากว่าเอโลอิสมากเสียจนเธอเองกลัวจะเป็นตัวทำเสียแผนเลยล่ะ ทั้งสองค่อย ๆ ย่องขึ้นไปที่ชั้นสองของคฤหาสน์เพื่อเช็คทีละห้องว่าห้องใดที่เป็นห้องของแมคเคย์ล่า 


เหล่าเดมิก็อดเดินไปตามทางที่ปูด้วยพรมสุดหรู ทางเดินชั้นสองดูเหมือนจะยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด มีประตูไม้ที่สลักลวดลายสวยงามเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งจนตาลายไปหมด ทั้งสองเดินมาหยุดที่ประตูบานแรกเมื่อจับลูกบิดหมุนดูเหมือนจะไม่ได้ถูกล็อกไว้ พวกเขารอบคอบพอที่จะสวมถุงมือและปิดไฟฉายส่องกบบนหัวของเอโลอิส เพื่อให้ผิดสังเกตน้อยที่สุด อีธานโผล่หัวชะเง้อเข้าไปมองด้านในเพราะเขาทำทุกอย่างได้เงียบเชียบกว่าเอโลอิส ภายในห้องแรกกลับเป็นเพียงห้องเก็บของเก่าฝุ่นหนาเตอะ พวกเขาหันไปสบตากันแล้วส่ายหน้า ก่อนจะปิดประตูลงอย่างเบามือแล้วเคลื่อนไหวต่อไปที่ห้องถัดไป


เมื่อมาถึงประตูถัดไป อีธานก็จัดการเปิดประตูออกเบาราวกับกลัวมันจะบอบช้ำ คราวนี้ด้านในเป็นห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งอย่างหรูหรา แน่นอนว่าห้องนี้ก็ไม่ใช่อีกทีแรกทั้งสองกำลังจะเดินออกจากห้องแต่ก็ดันได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกำลังจะเดินเข้ามาด้านในห้องจึงได้พากันเดินไปหลบที่นอกระเบียง ฟังจากเสียงของบุคคลที่เดินคุยโทรศัพท์เข้ามาน่าจะเป็นท่านนายพลคนดีคนเดิม


“พวกแกป้องกันยังไงถึงได้มีคนลอบเข้ามา แล้วหน้าประตูนั่นอีกจัดการให้เรียบร้อย!” ท่านนายพลพูดเสียงเข้มคุยโทรศัพท์ ร่างสูงใหญ่ของเขายืนหันหลังให้กับระเบียงที่เดมิก็อดทั้งสองกำลังหลบอยู่


“ดูท่าน่าจะคุยโทรศัพท์นานเลย เราปีนระเบียงไปห้องข้าง ๆ ดีกว่าไหม?” เอโลอิสหันไปถามความเห็นกับอีธาน


“ก็ดีเหมือนกัน”


ทั้งคู่ตัดสินใจขยับตัวอย่างระมัดระวัง ค่อย ๆ ปีนข้ามระเบียงไปยังห้องข้างเคียง เมื่อเท้าของพวกเขาสัมผัสกับพื้นระเบียงของอีกห้อง ก็พบว่ามีเงาตะคุ่มอยู่ตรงมุมมืดสุดของระเบียง พอเดินเข้าไปใกล้จึงพบว่าเป็นชายหนุ่มที่สวมเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ทำเอาเดมิก็อดทั้งสองถึงกับสะดุ้งตกใจ


“เฮ้ย!---” เอโลอิสถึงกับหลุดอุทานแต่โดนมือของอีธานปิดปากไว้เสียก่อน


“ชู่ววววว ~” ชายปริศนาคนนั้นเอานิ้วชี้แตะปากตัวเองเป็นเชิงให้ทั้งสองคนนี้เบาเสียง ก่อนที่เขาจะเงี่ยหูฟังด้านในห้องอย่างระแวดระวังว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร


“คุณเป็นใครเนี่ย?” เอโลอิสพยายามถามให้เสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อไม่ให้คนที่อยู่ด้านในห้องได้ยิน


“ผมแค่มาหาคุณหญิงของบ้าน”


“คุณหญิง?...หมายถึงเมียท่านนายพลน่ะเหรอ?” เอโลอิสถามเพื่อความแน่ใจ


“กะ…ก็ใช่…แต่ท่านนายพลคุยโทรศัพท์ผ่านห้องนี้มาพอดี คุณหญิงเลยให้ผมมาหลบที่ระเบียงนี้ก่อน”


เอโลอิสและอีธานหันมามองหน้ากัน นี่ไม่ใช่แค่ปฏิบัติการส่งสารให้วินสตันแต่ดูเหมือนทั้งสองได้พบกับความลับที่ไม่ควรรู้เข้าให้แล้ว แต่งกายแบบนี้ หลบที่ระเบียงแบบนี้ และเป็นแขกของคุณหญิงแบบนี้ ตรงตามสูตรเป๊ะ…ชัดเลย…นี่มันชู้ของเมียนายพล!


“สรุปก็คือ…คุณเป็นชู้—-”


“ชู่ววววว~ เบา ๆ สิแม่สาวน้อย…เดี๋ยวคนข้างในก็ได้ยินหรอก ใช่ ฉันยอมรับ แต่พวกเธอก็สถานะไม่ต่างกันไม่ใช่หรือไง แอบลอบเข้าทางระเบียงแบบนี้หัวขโมยใช่ไหมล่ะ?”


ก็…ถ้าดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วก็เหมือนจะใช่…


“ยังไงก็ตามตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ฉะนั้นช่วยเงียบหน่อยจนกว่าท่านนายพลจะไปจากแถวนี้ เราค่อยแยกย้ายไปทางใครทางมัน ถ้าพวกเธอไม่แฉฉัน ฉันก็จะไม่แฉพวกเธอ จะยกเค้าอะไรก็ยกไปห้องแรกของมีค่าเยอะเลยล่ะ” 


ชายชู้ยังคงพูดต่อ ห้องแรกที่ว่านั่นน่าจะหมายถึงห้องที่พวกเอโลอิสเพิ่งเปิดเข้าไปดูเป็นที่แรกนั่นแหละ  งั้นแสดงว่าระเบียงห้องที่ทุกคนกำลังยืนอยู่ตอนนี้ก็น่าจะเป็น…ห้องนอนท่านนายพล! 


เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของชายดังขึ้นจากด้านหน้าห้องก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออกอย่างแรง เอโลอิสและอีธานยืนนิ่งราวกับรูปปั้น ชายชู้ที่พวกเขาเพิ่งเจอรีบยกนิ้วแตะริมฝีปากของเขาเองเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบปากให้สนิท 


ท่านนายพลก้าวเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ภรรยาที่นั่งอยู่บนเตียง ร่างของเธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาเข้ามาโดยไม่มีการเคาะประตู


“ฉันได้รับรายงานว่าเห็นคนแปลกหน้าแอบลอบเข้ามาในคฤหาสน์ เธอรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”


คุณหญิงถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ 


“ฉะ…ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น คุณคงระแวงเกินหรือเปล่า” เธอตอบเสียงสั่นเล็กน้อย


ท่านนายพลเดินตรวจสอบทุกมุมราวกับกำลังค้นหาเงื่อนงำอะไรบางอย่าง เขาเปิดตู้เสื้อผ้าก็ไม่พบอะไรอยู่ด้านใน ตอนนั้นเองที่เขานึกถึงจุดหนึ่งที่ยังไม่ได้ค้นหา สายตาของเขาจับจ้องไปทางประตูกระจกที่เชื่อมกับระเบียง


“มันหลบอยู่ที่ระเบียงใช่ไหม!”


“มะ…ไม่…อย่าเปิดดูตรงนั้น…มะ…มันไม่มีอะไรจริง ๆ” 


เสียงของคุณหญิงสุดจะล่ก…บอกตามตรงว่าสกิลการโกหกของเมียท่านนายพลนี่โคตรจะไม่เนียนเลยสักนิดแถมยังนำพาความซวยมาให้ทุกคนที่กำลังหลบตรงระเบียงนี้อีก เสียงฝีเท้าของท่านนายพลที่เดินเข้ามาใกล้ระเบียงทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เอโลอิสเห็นท่าจะไม่ดี อีกสักแป๊บนายพลต้องเปิดประตูมาสำรวจระเบียงถึงตอนนั้นมีหวังได้ตายหมู่แน่!


“ขอโทษนะพี่ชาย!” 


โครม!!!


เอโลอิสตัดสินใจทำการบูชายัญถีบชายชู้ไปที่ปากประตูระเบียงเพื่อดึงดูดความสนใจของนายพลแล้วใช้จังหวะนี้เผ่นกระโดดไปที่ระเบียงถัดไป เพียงอีธานงัดแงะไม่กี่ทีประตูห้องตรงระเบียงก็เปิดออก ทั้งสองจึงรับเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า


“นี่มันอะไรกัน! เธอแอบเอาชู้มานอนในของฉันแบบนี้ได้ยังไง!”


เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นดูเหมือนจะเป็นคราวซวยของชายชู้คนนี้เสียแล้ว แม้ว่าตอนนี้เขาจะบอกว่ามีคนลอบเข้ามาเหมือนกับเขาก็ฟังไม่ขึ้นอีกต่อไป ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับสถานการณ์อื้อฉาวที่ห้องของนายพลและด่วนสรุปทันทีว่าคนที่แอบลักลอบเข้ามาในคฤหาสน์และคนที่สร้างเหตุการณ์ประตูรั้วพังทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือของชายชู้!


ตัดภาพมาที่ห้องข้าง ๆ ที่เหล่าเดมิก็อดเพิ่งจะงัดเข้ามาได้ปรากฏว่าในห้องสว่างโร่ เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้อ่อน ๆ และบรรยากาศที่อบอุ่นแตกต่างจากความตึงเครียดภายนอก มิหนำซ้ำยังมีคนอยู่อีกต่างหาก


“นี่พวกเธอ…”


เสียงคุ้น ๆ ทำให้ทั้งสองต้องหันไปมองและก็พบว่าคือ แมคเคย์ล่า แอนเดอร์สัน คนรักของวินสตันนั่นเอง


“พวกเธอเป็นเพื่อนของวินสตันนี่”


“ชู่ววววว~ อย่าส่งเสียงดังตอนนี้ห้องข้าง ๆ ท่านนายพลกำลังหัวร้อนอยู่”


แมคเคย์ล่าพยักหน้า ก่อนที่เอโลอิสจะรีบล้วงกระเป๋าเป้และหยิบจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยออกมา เคอร์ติสที่หลบอยู่ในนั้นก็ออกมาด้วย


“วินสตันฝากนี่มาให้เธอ”


แมคเคย์ล่ารับจดหมายด้วยมือที่สั่นเทาราวกับมันเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลก เธอรีบฉีกซองออกอย่างร้อนรน ก่อนจะกางกระดาษขึ้นอ่าน ใบหน้าของเธอค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปตามข้อความที่เธอได้เห็น น้ำตาไหลรินลงมาเป็นสายแต่กลับมีรอยยิ้มแห่งความหวังปรากฏขึ้น


“เขายังปลอดภัยดีสินะ”


“อย่าห่วงเลยเขายังปลอดภัยดี พวกเราจะช่วยคุ้มครองเขาเอง”


“เพื่อแก้กรรมพวกเธอลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ” แมคเคย์ล่ารู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง


เอโลอิสได้แต่ยิ้มแห้ง ก่อนที่จะรู้สึกถึงเสียงสั่นบริเวณกางเกง มือถือของเธอ! เมื่อดูที่หน้าจอก็พบว่าเป็นเบอร์ของการ์เซียที่เธอได้เมมไว้ก่อนออกเดินทาง เธอไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุร้ายอะไรทำไมการ์เซียถึงยอมเสี่ยงใช้มือถือทั้งที่รู้ว่าสัญญาณโทรศัพท์อาจล่ออสุรกายเข้าหาเดมิก็อด


“ฮัลโหลการ์เซียเกิดอะไรขึ้น?”


[แย่แล้วล่ะเอโลอิส! ท่านนายพลสร้างเรื่องแล้ว วันนี้เจ้าของห้องเช่าไล่วินสตันออกจากห้องยกเลิกสัญญาเช่า แถมยังไล่ที่ไม่ให้เขาขายของที่เดิมอีก ใจร้ายชะมัด!]


“ว่าไงนะ!”


[ตอนนี้ฉันพาวินสตันโตเต๋อยู่แถวสวนสาธารณาคาดว่าเย็นนี้อาจจะลองหาเช่าที่พักสักที่ ตอนนี้ทางนั้นเป็นไงบ้าง?]


“ตอนนี้ฉันเข้ามาในห้องแมคเคย์ล่าแล้ว ทุกคนปลอดภัยดี—”


แกร๊ก ๆ ๆ


เสียงกุกกักตรงบริเวณประตูระเบียงอาจเป็นเพราะทั้งสองปิดประตูไม่แน่น สายตาของเอโลอิสเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าก็อบลินฝูงหนึ่งกำลังพยายามเข้ามาด้านใน พวกมันน่าจะตามสัญญาณมือถือของเธอมา


“ดูเหมือนตอนนี้จะงานเข้าแล้วการ์เซีย สัญญาณโทรศัพท์เรียกอสุรกายมา ถ้าคืนนี้พวกฉันไม่ได้กลับไปฝากดูวินสตันด้วย พวกฉันต้องจัดการทางนี้ก่อน”


[ได้ ดูแลตัวเองด้วย]


เอโลอิสรีบตัดสาย ส่วนอีธานรีบเอาตัวไปขวางประตูระเบียงไว้เพราะไม่รู้ว่าแมคเคย์ล่าจะมองเห็นเจ้าก็อบลินพวกนี้เป็นอะไร บางทีอาจจะเห็นเป็นฝูงหนูท่อน่าเกลียดก็ได้ เพื่อกันสาวน้อยผู้ใสซื่อขวัญเสียเอโลอิสจึงคิดว่าควรให้หล่อนหลบอยู่ที่ไหนสักที่จนกว่าพวกเขาจะควบคุมสถานการณ์ได้จึงต้องออกอุบายหลอกเด็กเพื่อล่อแมคเคย์ล่าคนซื่ออีกครั้ง


“นี่แมคเคย์ล่ารู้ไหมว่าในดูเสื้อผ้าถ้าเธอซ่อนตัวในนั้นได้นานพอมันจะพาเธอไปโลกแห่งนาร์เนียได้”


“จริงเหรอ!” ดวงตาของแมคเคย์ล่าเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นที่แสนไร้เดียวสา


“ใช่! แต่ต้องรีบเข้าไปเดี๋ยวนี้ก่อนที่เวทมนตร์จะหมดนะ อย่าลืมว่าต้องปิดหูไว้ด้วย”


“ได้” แมคเคย์ล่าไม่รอช้า เธอรีบเปิดตู้เสื้อผ้าและมุดเข้าไปข้างใน ก่อนจะปิดประตูตามหลังอย่างเชื่อฟัง


“โอเค ปล่อยให้พวกมันเข้ามาได้เลยอีธาน!” 


อีธานเปิดประตูทันใดนั้นฝูงก็อบลินก็กรูกันเข้ามา ดวงตาของพวกมันส่องประกายอำมหิต ปากอ้ากว้างเผยเขี้ยวแหลมคมส่งเสียงขู่คำราม เอโลอิสรีบคว้าธนูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงลูกธนูออกมาเสียบสายแล้วยิงออกไปทันที ลูกธนูพุ่งตรงไปยังหัวของก็อบลินตัวแรกทะลุเข้ากลางหน้าผาก มันล้มลงกับพื้นทันทีโดยไม่มีโอกาสได้ร้องสักแอะ ฝั่งอีธานก็ไม่แพ้กันเขารีบกวัดแกว่งมีดสั้นอย่างคล่องแคล่วเสียบเข้าไปที่คอหอยของหนึ่งในนั้น เขาเตะตัดขาก็อบลินอีกตัวจนมันล้มลงก่อนจะปักมีดลงไปที่หัวของมัน เอโลอิสยังคงยิงลูกธนูอย่างต่อเนื่องแม้จะอยู่ในระยะประชิด ลูกธนูพุ่งเสียบคอและอกของพวกมัน ร่างของก็อบลินล้มระเนระนาดบนพื้น ไม่นานก็อบลินทุกตัวก็ถูกสังหารเรียบและสลายหายเป็นฝุ่นละอองสีทอง


“จบสักที เฮ้อ”


“หวังว่าแมคเคย์ล่าจะไม่โกรธพวกเรานะที่หลอกเธอไปนาร์เนีย”


“จริงด้วย เกือบลืมไปเลย”


ทั้งสองรีบไปเปิดตู้เสื้อผ้าแมคเคย์ล่ายังคงนั่งหลับตาปิดหูอยู่ในตู้เสื้อผ้า เมื่อเอโลอิสสะกิดเธอก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและพบว่ายังอยู่ที่ห้องนอนเธอเหมือนเดิม แววตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ


“ทำไมฉันยังอยู่ที่เดิมล่ะ?”


“สงสัยว่าเวทมนตร์จะหมดก่อนเธอจะปิดประตูตู้เสื้อผ้าได้ทันนะ” เอโลอิสหาข้ออ้างมาเสริมเหตุผลที่แมคเคย์ล่าไปนาร์เนียไม่ได้


“แบบนี้นี่เอง” แมคเคย์ล่ายังคงเชื่อสนิทใจ


“ในเมื่อภารกิจส่งจดหมายเสร็จสิ้นแล้ว ก็คงต้องกลับแล้วล่ะ”


“เดี๋ยวก่อน” แมคเคย์ล่าพูดแทรกขึ้นมา “อยู่พักที่นี่สักคืนเถอะ วันนี้เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายในคฤหาสน์ ลูกน้องของพ่อฉันจึงมาเยอะเป็นพิเศษกว่าจะกลับก็น่าจะรุ่งเช้า พอพวกเขาไปแล้วพวกเธอค่อยไปจะปลอดภัยกว่า”


“อีธานเอาไงดี?” เอโลอิสหันไปถามอีธาน


“ยังไงก็ได้”


“ถ้างั้นฉันจะอยู่เฝ้าที่นี่สักคืนเพื่อให้แน่ใจว่าพ่อของเธอจะไม่ทำโทษเธอ หลังจากนั้นรุ่งเช้าพวกเราจะออกไปจากที่นี่”


เมื่อตกลงกันได้แล้วทั้งสองและเคอร์ติส (ที่ไม่มีบทในตอนนี้) ก็ตัดสินใจพักที่ห้องนอนของแมคเคย์ล่าเพื่อรอจังหวะออกไปในตอนเช้า แม้จะอยู่ในถ้ำเสือแต่เมื่อก้าวเท้าเข้ามาแล้วก็คงถอยไม่ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรภารกิจช่วยให้ความรักของทั้งสองคนนี้สำเร็จลุล่วงก็ยังต้องดำเนินต่อไป….






โบนัสพิชิตฝูง: +10 EXP 
สินสงคราม: หมวกก็อบลิน x10







แสดงความคิดเห็น

เออลืมไปเลยว่าช่วงนี้ไม่มีกลางคืน 55555  โพสต์ 2024-11-19 17:31
God
คุณได้รับ 10 EXP โพสต์ 2024-11-19 17:16
God
พาร์ทต่อไป (ตกดึกที่ไม่มืดเอาเสียเลย) เจอเทพโดลอส เขาดูจะอารมณ์เสียมากที่คุณมาขัดขวางอารมณ์ของเขาและทำเขาเสียเวลา  โพสต์ 2024-11-19 17:16
โพสต์ 65701 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-11-18 23:00
โพสต์ 65,701 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +30 ความกล้า จาก ควบคุมโลหะ  โพสต์ 2024-11-18 23:00
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
โพสต์ 2024-11-19 23:38:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด








ยามเช้าของคฤหาสน์แอนเดอร์สันเต็มไปด้วยความเงียบสงบ แสงแดดยามรุ่งอรุณส่องลอดผ่านประตูระเบียงบานใหญ่ในของห้องนอนแมคเคย์ล่า เดมิก็อดทั้งสองตื่นจากการพักผ่อนที่ไม่เต็มอิ่มนักเพราะเป็นกังวลเรื่องวินสตันและการ์เซีย ไม่รู้ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนและใช้ชีวิตอย่างไรหลังจากที่ท่านนายพลใช้อำนาจมืดบีบบังคับพวกเขาให้จนตรอก แต่แล้วความเงียบก็ถูกทำลายด้วยเสียงพูดคุยแว่วมาเบา ๆ จากห้องข้าง ๆ ทำให้ทั้งสองคน พ่วงด้วยเคอร์ติสต้องเอาหูแนบกับกำแพงแอบฟังบทสนทนาดูเสียหน่อย


“ใฝ่ต่ำพอกันทั้งแม่ทั้งลูก ฉันไม่แปลกใจเลยว่าแมคเคย์ล่าได้เชื้อของใครมา” เสียงผู้ชายที่ฟังดูทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นฟังดูก็รู้ว่าเสียงท่านนายพล


“คุณเอาเขาไปไว้ที่ไหน?” เสียงคุณหญิงถามด้วยความเป็นกังวล


“ที่ที่เธอจะไม่สามารถพบเขาได้อีกต่อไป”


“คุณทำอะไรน่ะ!”


“เธอควรสำนึกได้แล้ว ฉันไม่จัดการเธอไปด้วยอีกคนก็บุญหัวแล้ว วัน ๆ คนบ้านนี้มีแต่พวกสร้างเรื่องสร้างราวให้ฉัน ไหนจะเมีย ไหนจะลูก ปวดหัว”


“แล้วคุณจะขังแมคเคย์ล่าไปอีกนานเท่าไหร่ ลูกไม่ยอมกินข้าวกินปลาฉันกลัวว่าจะเป็นอะไรไปเสียก่อน” น้ำเสียงคุณหญิงแฝงไปด้วยความกังวล


เสียงถอนหายใจหนัก ๆ ดังขึ้น ตามมาด้วยคำตอบจากท่านนายพล “มันทนอดได้ไม่นานหรอก” ท่านนายพลกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไร้แววลังเล


ใบหน้าของเอโลอิสที่แอบฟังอยู่ห้องข้าง ๆ เผยความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย พ่อบ้าอะไรไม่สนใจความรู้สึกของลูกสาวเลยสักนิดใจร้ายมาก แม้จะฟังแล้วขัดใจแต่ความอยากเผือกก็ยังคงมีเต็มเปี่ยมเธอจึงยังคงแนบหูกับกำแพงฟังต่อไป


“ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วฉันก็มีเรื่องนึงที่จะมาบอก…ฉันได้คุยกับตระกูลคาร์ลตันไว้แล้วว่าจะให้แมคเคย์ล่าแต่งกับลูกชายของเขา”


“ตระกูลคาร์ลตัน?” เสียงคุณหญิงถามด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่ถึงกับปฏิเสธเสียทีเดียว


“ใช่ ตระกูลนั้นมีหน้ามีตาทางสังคมและร่ำรวยไม่แพ้ตระกูลของเรา” น้ำเสียงของท่านนายพลเน้นย้ำอย่างภาคภูมิใจ “การเชื่อมสัมพันธ์นี้จะทำให้เรามีอำนาจทั้งในแง่การเงินและสถานะทางสังคม”


อีธานถึงกับขมวดคิ้วดูเหมือนว่าแมคเคย์ล่ากำลังจะถูกลดค่าเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในเกมของท่านนายพลไปเสียแล้ว


“นี่เขาคิดจะให้แมคเคย์ล่าแต่งงานกับตระกูลอื่นเพื่อผลประโยชน์งั้นเหรอ?” เอโลอิสหันมาคุยกับอีธานและเคอร์ติส


“ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างงั้นนะขอรับ” เคอร์ติสเห็นด้วย


“สรุปแล้วบ้านนี้เขาเลี้ยงลูกไว้เป็นเครื่องมือในการต่อรองผลประโยชน์หรือไงเนี่ย?” อีธานเสริม


“พวกเธอคุยอะไรกันเหรอ?”


เสียงของแมคเคย์ล่าดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เหล่าเดมิก็อดถึงกับสะดุ้ง พวกเขาหันกลับไปพร้อมกัน เห็นแมคเคย์ล่ายืนอยู่ไม่ตื่นมาตอนไหน ดวงตาของสาวเจ้าฉายแววสงสัย คาดว่าน่าจะยังไม่ทันได้ยินบทสนาในห้องข้าง ๆ เป็นแน่


“ตะ…ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” เอโลอิสถามขึ้นพลางทำตัวให้ดูปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้


“เพิ่งตื่นน่ะ แล้วก็เห็นพวกเธอทำอะไรก็ไม่รู้ จ่อหูกับกำแพงแบบนั้นก็เลยสงสัยขึ้นมา”


“อะ…อ๋อ…พอดีว่าเห็นกำแพงมันมีรอยน่ะก็เลยมาช่วยเช็ด แหะ ๆ” เอโลอิสยิ้มแหย ๆ พยายามทำตัวให้ดูไม่ผิดสังเกต


“ใช่ ๆ” อีธานพูดเสริมทันทีพร้อมพยักหน้ารับอย่างเอาเป็นเอาตาย “มันดู...เอ่อ...สกปรกนิดหน่อยน่ะ”


ทั้งสองคนแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ พลางควักผ้าเช็ดหน้ามาทำทีเหมือนช่วยกันเช็ดกำแพง และดูเหมือนแมคเคย์ล่าก็เชื่อเช่นนั้น จึงเดินกลับไปที่เตียงแต่ยังไม่ทันถึง เสียงบทสนทนาจากห้องข้าง ๆ ก็ดังชัดเจนขึ้นในจังหวะที่เธอกำลังจะก้าวเท้าไปถึง


“ฉันไม่รับความเห็นต่าง ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะให้แมคเคย์ล่าแต่งกับลูกชายตระกูลคาร์ลตัน!”


แมคเคย์ล่าชะงักกึกราวกับเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เธอหันขวับกลับมามองเดมิก็อดทั้งสองที่ยืนอยู่ใกล้กำแพง นัยน์ตาของเธอเบิกกว้างแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน


“อะไรนะ?...” เสียงของเธอเบาแต่แฝงด้วยความตกใจอย่างยิ่ง


เอโลอิส อีธานและเคอร์ติสหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก เห็นทีคราวนี้คงปิดแมคเคย์ล่าไม่ได้แล้ว


“จะเย็นก่อนนะแมคเคย์ล่าบางทีอาจจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิดก็ได้” เอโลอิสพยายามพูดให้สถานการณ์ดีขึ้นก่อนเสียงข้างห้องนั่นจะดั่งขึ้นมาอีกรอบ


“...เป็นอย่างที่เธอคิดนั่นแหละ ลูกชายตระกูลคาร์ลตัน ฉันจะรีบเตรียมงานให้เร็วที่สุด” เสียงข้างห้องสวนกลับมาราวกับจังหวะซิทคอม แค่คู่สนทนาของท่านนายพลคือคุณหญิงไม่ใช่พวกของเอโลอิสที่แอบฟังอยู่ข้างกำแพง


“ไม่จริง…ฉันไม่ยอมแต่งงานกับเขาแน่ ริชาร์ด คาร์ลตันเขาเป็นคนน่ารังเกียจที่สุดเท่าที่ฉันเคยรู้จัก”


ลูกชายของตระกูลคาร์ลตันคือ ริชาร์ด คาร์ลตัน ชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงในหมู่สังคมชั้นสูง นิสัยของเขาทั้งหลงตัวเองและหยิ่งยโส ภายนอกเหมือนจะดูสมบูรณ์แบบ ตัวสูง รูปร่างดี มีรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ ฐานะร่ำรวย แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ริชาร์ดนั้นเต็มไปด้วยข้อบกพร่องที่ซ่อนอยู่ภายใน เขามักจะใช้เวลาหมดไปกับการดื่มเหล้าจัด เล่นพนันและติดหญิง หากแมคเคย์ล่าแต่งงานกับเขาจะต้องเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นแน่


“ไม่ต้องห่วงทุกอย่างต้องมีทางแก้แน่” 


สถานการณ์ในตอนนี้มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ในตอนแรกที่เอโลอิสยอมรับภารกิจนี้ก็เพราะคิดว่าแค่เป็นแม่สื่อให้คนที่มีใจให้กันอยู่แล้วจะไปยากเย็นอะไรนักหนา พอได้มาเจอเข้าจริงทุกอย่างมันซับซ้อนและยุ่งยากกว่าที่เธอคาดคิดไว้มาก หากปล่อยให้แมคเคย์ล่าเข้าพิธีแต่งงานกับผู้ชายไม่เอาอ่าวแบบนั้น ภารกิจคงได้ล่มพอดี แน่นอนว่าเธอจะไม่มีวันให้เรื่องนี้เกิดขึ้น


“ตอนนี้ทุกอย่างมันเริ่มบีบคั้นแล้ว” น้ำเสียงของเอโลอิสเต็มไปด้วยความกดดัน เธอครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ


“เธอมีแผนอะไรอีกไหม?” อีธานถามขึ้น


เอโลอิสเหลือบมองอีธานและแมคเคย์ล่าสลับกัน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“แมคเคย์ล่าเก็บกระเป๋า”


“อะไรนะ?” อีธานแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เพื่อนร่วมภารกิจพูด


“เราต้องพาแมคเคย์ล่าหนีออกไปก่อนที่ท่านนายพลจะรู้ตัว” ดวงตาของเอโลอิสในตอนนี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น


“นี่เธอคิดจะท้าทายอำนาจของทั้งสองตระกูลนี้เลยหรือไงกัน?” อีธานยังคงไม่แน่ใจว่าความคิดนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด


“ฉันเอาด้วย!” 


เสียงของแมคเคย์ล่าดังขึ้นอย่างหนักแน่น ทำให้เดมิก็อดทั้งสองหันขวับไปมองเธอพร้อมกัน ใบหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นแสดงให้เห็นว่าเธอนั้นได้ตัดสินใจแล้ว กระเป๋าเสื้อผ้าถูกหยิบออกมาใส่ของที่จำเป็นและเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดที่เธอพอจะแบกไหว ในจังหวะที่เธอหยิบของอยู่นั้น สายตาก็พลันมองเห็นกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กข้างเตียง ภาพของครอบครัวที่ครั้งหนึ่งเคยดูเหมือนสมบูรณ์แบบ…เธอเม้มปากแน่น ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ามันมาแล้ววางลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง


“เก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว”


“เธอแน่ใจแล้วใช่ไหม?” อีธานถามซ้ำอีกที แมคเคย์ล่าไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้า


“ตอนนี้คิดว่าน่าจะใกล้ช่วงสับเปลี่ยนเวรยามแล้วฉันคิดว่าเราควรอาศัยจังหวะตอนนี้รีบหนีออกจากคฤหาสน์”


“ห้องนี้ถูกล็อกจากด้านนอกเราคงหนีออกทางประตูไม่ได้” แมคเคย์ล่ามองไปยังประตูที่ถูกใส่กลอนจากด้านนอกอย่างแน่นหนา


เอโลอิสสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง ก่อนสายตาของเธอจะหยุดที่ประตูระเบียงด้านหลังที่เคยงัดเข้าห้องนี้มา เธอเดินไปมองออกนอกหน้าต่าง ความสูงจากชั้นบนของคฤหาสน์ทำให้เธอรู้สึกใจหายไม่น้อย


“สูงแฮะ…” 


“โรยตัวลงไปดีไหม” อีธานเสนอ


“แต่เราไม่มีเชือกนี่” ความคิดเรื่องโรยตัวนั่นพอจะมีความเป็นไปได้อยู่ ขาดองค์ประกอบเพียงอย่างเดียวก็คือเชือกนี่ล่ะ


“ถ้าเอาผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มพอจะเป็นไปได้ไหม ห้องฉันมีเยอะเลย” แมคเคย์ล่าพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น และทันทีที่เธอพูดจบก็ชี้ไปที่เตียงของเธอที่ยังคงมีผ้าห่มและผ้าปูที่นอนอยู่เต็มเตียง


“จะใช้ได้ไหมเนี่ย?” อีธานมองไปที่ผ้าปูที่นอนที่อยู่บนเตียงแล้วหันมามองหน้าคนอื่น ๆ


“เอาวะ! ลองดู!” 


ทุกคนรีบวิ่งไปที่เตียง แล้วเริ่มดึงผ้าปูที่นอนออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มผูกมันเข้าด้วยกันเป็นสายยาว เมื่อเสร็จแล้วก็ลองทดสอบความแข็งแรงด้วยการดึง เมื่อมั่นใจว่ามันแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของคนได้ก็ค่อย ๆ แง้มเปิดประตูระเบียงออกสำรวจด้านนอกว่ามีคนหรือไม่ พอทางสะดวกก็จัดการผูกเชือกที่เพิ่งทำเสร็จไว้ที่ซี่ระเบียง เคอร์ติสแม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้พูดต่อหน้ามนุษย์ทั่วไปแต่มันก็คอยดูต้นทางให้ลูกพี่ตัวเองอย่างแข็งขันโชคดีที่แมคเคย์ล่าซื่อพอที่จะไม่จับสังเกตเรื่องนี้ 


อีธานโรยตัวลงไปเป็นคนแรกเพื่อรอรับแมคเคย์ล่าที่โรยตัวเป็นคนที่สอง เธอค่อนข้างเก้กังกว่าคนอื่นเพราะเป็นเพียงคุณหนูที่บอบบางแต่สุดท้ายก็ลงด้านล่างได้อย่างปลอดภัย ปิดท้ายด้วยเอโลอิสที่โรยตัวลงมาเป็นคนสุดท้าย พวกเขารีบหาทางเดินออกไปจากบริเวณคฤหาสน์เพื่อเตรียมจะลัดไปทางส่วนหย่อมแต่ก็ได้ยินฝีเท้าของทหารยาม จึงต้องไปหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่งหารู้ไม่ว่ามีคนหนึ่งกำลังยืนมองท่าทีด้อม ๆ มอง ๆ ของพวกเขาอยู่จากทางด้านหลัง


“พวกเธอคิดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่”


โอเลอิสและคนอื่น ๆ หันไปพบกับหญิงวัยกลางคนแต่งกายสวยสง่ายืนอยู่ด้านหลังพวกเขา ทำท่าทีเคร่งขรึม สายตาเยือกเย็น ใบหน้าไม่พอใจนักที่เห็นว่าลูกสาวแอบหนีออกมาจากห้องของตนเอง


“คุณแม่…” แมคเคย์ล่าอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ


“คะ..คุณหญิงเหรอ?…ที่เมื่อวาน…คนตรงระเบียง…ชู้…” ทุกสิ่งที่อย่างแล่นเข้ามาตีกันในหัวของเอโลอิส เธอพยายามปะติดปะต่อทุกอย่างเข้าด้วยกันจนลิ้นรวนไปหมด แม้จะไม่เคยเห็นหน้าคุณหญิงแต่เธอก็มั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินจากข้างห้องคือเสียงนี้แหละ


“พวกเธอรู้!” คุณหญิงมีท่าทีตกใจในทันทีเมื่อได้รู้ว่าพวกเอโลอิสรู้เรื่องชายชู้ของเธอ


“โลกมันกลมน่ะค่ะ แหะ…” เอโลอิสไม่กล้าพูดด้วยซ้ำว่าคนที่ถีบเขาออกไปเผชิญชะตากรรมนั้นคือเธอเอง


“คุณแม่ปล่อยหนูไปเถอะ หนูไม่อยากแต่งงานกับเขา คุณแม่ก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นแย่แค่ไหน”


แมคเคย์ล่าพยามยามขอร้องคุณหญิง แม้ว่าจะเป็นคำขอที่ฟังดูเหมือนคนที่กำลังหวังให้ผู้เป็นแม่เข้าใจ แต่การจะทำให้คุณหญิงยอมรับสิ่งนี้ไม่ได้ง่ายดายเลย ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้ลูกสาวลงเอยด้วยความยากลำบากกัดก้อนเกลือกับชายจน ๆ หรอก


คุณหญิงเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง มันไม่ใช่แค่ความเย็นชา แต่ยังมีความรู้สึกที่แฝงอยู่ลึก ๆ ที่ไม่สามารถแสดงออกได้เต็มที่ แท้จริงแล้วคุณหญิงเองก็เข้าใจความรู้สึกนี้ดีการที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักและแบกรับชีวิตที่ไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต จนต้องแอบลักลอบพาชายชู้เข้ามาเยียวยาจิตใจ ไม่ใช่ชีวิตที่ดีเลยสักนิด


“ไปเถอะ…”


ทุกคนแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่าสิ่งที่คุณหญิงพูดคือการยอมปล่อยให้พวกเขาหนีไป บางทีคุณหญิงเองอาจไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอย่างที่คิด แต่เป็นเพียงแค่หญิงวัยกลางคนขี้เหงาก็เท่านั้น


“วางใจเถอะค่ะ พวกเราจะพาเธอไปในที่ปลอดภัย เธอจะต้องมีความสุข” เอโลอิสพูดเพื่อสร้างความมั่นใจให้คุณหญิง


“ก่อนจะไป…” คุณหญิงเหมือนจะต้องการพูดอะไรบางอย่าง


“?” 


“ช่วยสืบข่าวของนิคให้ด้วย”


“เอ่อ…นิคไหนคะ?” ชื่อไม่คุ้นเลยสักนิด


“ผู้ชายที่เธอเรียกว่าชู้คนนั้นไง ฉันไม่รู้ว่าสามีของฉันทำอะไรกับเขา ฉันคิดว่าตอนนี้เขาอาจยังไม่ตายพวกเธอหาทางช่วยเขาหน่อยได้ไหม แลกกับการที่ฉันจะปล่อยพวกเธอไปจากที่นี่โดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”


คุณหญิงพูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง แม้จะไม่ได้พูดออกมาชัดเจนแต่ทุกคำที่หลุดออกจากปากของคุณหญิงแสดงถึงความกังวลและความหวังในเวลาเดียวกัน เอโลอิสเองก็ลำบากใจที่จะรับปาก แค่เรื่องทำให้คู่รักสมหวังก็ยากพออยู่แล้ว ยังต้องไปตามหาชู้คนนั้นที่ไม่รู้ตอนนี้โดนนั่งยางไปแล้วหรือยังดูท่าจะยากยิ่งกว่า แต่เพื่อให้รอดออกไปจากที่นี่ได้จึงต้องรับปากไปก่อน


“ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่… ฉันจะช่วยเขาค่ะ” 


“ขอบคุณพวกเธอมาก…เอาล่ะ ตอนนี้ไปเถอะก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า ดูแลตัวเองด้วย”


คุณหญิงเร่งให้ทุกคนรีบออกไป แมคเคย์ล่าสวมกอดแม่ของเธอก่อนที่จะตามเหล่าเดมิก็อดไปที่กำแพงแล้วให้แมคเคย์ล่าขี่คออีธานปีนออกไปก่อน ตามด้วยคนอื่น ๆ จนครบจากนั้นก็วิ่งออกจากอาณาเขตนั้นไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


“พวกเราทำได้!”


เมื่อหนีมาได้ไกลมากพอแล้วทุกคนก็มีสีหน้าดีใจปนโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายการเป็นแม่สื่อในครั้งนี้จะลงเอยด้วยการพาฝ่ายหญิงหนีออกมา ตอนนี้เส้นทางอาจขรุขระไปบ้างแต่เอโลอิสก็ยังเชื่อว่าตอนจบจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เธอตัดสินใจเสี่ยงใช้โทรศัพท์อีกครั้งเพื่อติดต่อกับการ์เซียทางข้อความเพื่อให้อีกฝ่ายส่งที่อยู่ปัจจุบันมาเมื่อได้แล้วก็รีบเดินทางไปที่นั่นทันที หารู้ไม่ว่าสัญญาณโทรศัพท์นั่นมันได้นำมาบางสิ่งตามพวกเขามาด้วยตลอดทางจนถึงที่พัก


“วินสตัน!”


“แมคเคย์ล่า!”


ทั้งสองวิ่งเข้ามาหากันและสวมกอดกันอย่างอบอุ่น ราวกับทั้งโลกหยุดหมุนและทุกสิ่งรอบตัวก็หายไป ตอนนี้เดมิก็อดทั้งสามได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งและคิดว่าตัวเองโคตรจะเป็นส่วนเกินของบรรยากาศอันหวานแหววนี้ เลยเลือกปลีกแยกออกมาปล่อยให้เขาอยู่ในห้องด้วยกันสองคน โดยอ้างว่าจะออกไปหาอะไรกินเสียหน่อย


ทันใดนั้นเมื่อลงมาด้านล่างที่ไร้ผู้คน เสียงบางอย่างก็เริ่มดังขึ้น แขกไม่ได้รับเชิญที่พวกเขาไม่คาดคิด ทั้งสามคนถึงกับหยุดชะงัก ฝูงพัควัดจิประมาณ 10 ตัวกำลังกรูกันเข้ามาหาเหล่าเดมิก็อด ทุกคนดึงอาวุธออกมาพร้อมสู้


พัควัดจิตัวหนึ่งพุ่งเข้าหาอีธานด้วยความรวดเร็ว เขากระโดดหลบและใช้มีดฟันไปที่ลำคอของมันจนมันล้มลงไป เอโลอิสเองก็ยิงลูกธนูไปที่เจ้าอสุรกายที่พยายามโจมตีจากระยะไกล ลูกธนูของเธอพุ่งไปตรงเป้าอย่างแม่นยำเรียกว่าฝีมือพัฒนาขึ้นมาก การ์เซียผลักดาบไปข้างหน้าและฟันใส่พัควัดจิที่พุ่งเข้ามา ตัดมันออกเป็นสองส่วน ดาบของเธอเคลื่อนไหวอย่างเร็วและแม่นยำราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไม่นานทุกตัวก็ถูกกำจัดอย่างราบคาบ


แปะ แปะ แปะ


“น่าประทับใจจริง ๆ”


เสียงปรบมือเบา ๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลังพร้อมน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน ทุกคนหันไปทันทีก่อนจะพบร่างของชายคนหนึ่งที่แสนคุ้นหน้า ก่อนที่เขาจะก้าวเข้ามาใกล้กลุ่มของเหล่าเดมิก็อด ชายคนนี้ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจหรือหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย 


“คะ…คุณ…คือ…” 


เอโลอิสและอีธานมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกัน


“ชายชู้คนนั้น!” / “ชายชู้คนนั้น!”


"พวกเจ้ารู้ไหมว่าพวกเจ้าทำให้ทุกอย่างพังไปหมด!" ชายคนนั้นพูดอย่างอารมณ์เสีย คำพูดของเขาก็ชัดเจนว่ากำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่เอโลอิสถีบเขาที่ระเบียงเมื่อวานนี้ ซึ่งทำให้ความลับที่เขาเป็นชู้กับคุณหญิงแตกต่อหน้านายพล แถมเกือบถูกอุ้มไปนั่งยาง


“คุณรอดมาได้งั้นเหรอ งั้นก็ดีแล้วคุณหญิงเป็นห่วงคุณแทบแย่” เอโลอิสพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้เขาลืม ๆ เรื่องที่เธอทำไปเมื่อวันก่อน


“มนุษย์พวกนั้นจะทำอะไรข้าได้ ข้าก็แค่เพียงเล่นไปตามบทแล้วค่อยหนีออกมา ง่ายเหมือนปอกกล้วย”


“มนุษย์งั้นเหรอ…คำพูดคำจาฟังดูแปลกจัง” เอโลอิสชักจะเริ่มสงสัย


“คุณชื่อนิคหรือเปล่า?” อีธานถาม เพราะนั่นเป็นชื่อที่คุณหญิงบอกเขา


“นิค ฟิวรีน่ะเหรอ…นั่นมันชื่อที่ข้าตั้งขึ้นมาแบบด้นสดต่างหากล่ะ…”


เคอร์ติสที่อุดอู้อยู่ในกระเป๋าอยู่นานตัดสินใจกระโดดออกมาจากกระเป๋าเพราะเสียงชายคนนี้มันช่างคุ้นเสียจริง คุ้นมาตั้งแต่เมื่อวานเลยจะขอดูหน้าเสียหน่อย ทันทีที่มันโผล่หัวออกมาก็ถึงกับตกใจ ที่บุคคลเบื้องหน้าไม่ใช่เพียงมนุษย์ธรรมดา แต่เป็น…


เฮือกกกกก…ท่านเทพ! กระผมเคอร์ติสคาราวะท่านเทพโดลอสขอรับ!” มันพูดพร้อมทำท่าทางนอบน้อม


“เทพโดลอส!”


เดมิก็อดทุกคนตกใจมากเมื่อได้ยินว่าชายชู้คนนั้นคือเทพโดลอส ท่านเทพหัวเราะเบา ๆ แสดงถึงอำนาจ ความคิดในหัวของทุกคนประดังเข้ามาพร้อมกัน…ซวยแล้ว… หลังจากนี้พวกเขาคงต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ยากกว่าเดิมเกินกว่าระดับมนุษย์จะรับไหว การทำให้เทพกริ้วนี่จะส่งผลอะไรกับชีวิตบ้างก็ไม่รู้ อย่างน้อยก็หวังว่าจะยังมีชีวิตรอดไปจนถึงจบภารกิจนะ…







สินสงคราม : พิษกัดกร่อน x10







แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
God
ดี: 5
  โพสต์ 2024-11-23 20:51
โพสต์ 85290 ไบต์และได้รับ 48 EXP!  โพสต์ 2024-11-19 23:38
โพสต์ 85,290 ไบต์และได้รับ +20 EXP +20 เกียรติยศ +30 ความกล้า +25 ความศรัทธา จาก ควบคุมโลหะ  โพสต์ 2024-11-19 23:38
โพสต์ 85,290 ไบต์และได้รับ +15 EXP +35 เกียรติยศ +35 ความศรัทธา จาก ยอดนักสร้าง  โพสต์ 2024-11-19 23:38
โพสต์ 85,290 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-11-19 23:38
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
โพสต์ 2024-11-20 22:06:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2024-11-20 22:09








“คุณนิคเมื่อยตรงไหนบ้างคะ เดี๋ยวหนูนวดให้” เอโลอิสพูดขึ้น “นะ…น้ำ…น้ำมาแล้วครับ!” อีธานวิ่งตาลีตาเหลือกมาพร้อมกับแก้วน้ำเปล่า “นี่…มันอะไรกันเนี่ย?” ภาพที่การ์เซียเห็นคือสองเดมิก็อดเพื่อนร่วมภารกิจกำลังปรนนิบัติเทพโดลอสที่เอนกายอย่างสบายอารมณ์บนบัลลังก์ท่าทางราวกับเขาเพิ่งได้รับเกียรติให้นั่งบนราชบัลลังก์ทองคำจากโอลิมปัส บัลลังก์ที่ว่านี้ประกอบขึ้นจากเก้าอี้พลาสติกสีซีดที่ถูกเอโลอิสลากมาจากกองขยะรีไซเคิล โครงเหล็กดัดเก่าที่ดัดจนกลายเป็นที่วางแขน ส่วนพนักพิงถูกตกแต่งด้วยเศษม่านลายดอกไม้สีจางจนแทบมองไม่ออก ด้านข้างมีโคมไฟตั้งโต๊ะที่เสียแล้ววางเป็นพร็อพ ทุกสิ่งคือของที่พอจะหาได้และประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเอาอกเอาใจท่านเทพที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวป่วนระดับตำนาน! เอโลอิสบีบนวดขาข้างหนึ่งของท่านเทพด้วยความพยายามอย่างถึงที่สุด แม้ใบหน้าของเธอจะยิ้มกว้างอยู่แต่มันก็คือยิ้มแบบธุรกิจนั่นแหละ เธอใช้ความอดทนอย่างมากตั้งอกตั้งใจนวดต่อไปทั้งที่รู้ว่ากำลังโดนเทพโดลอสเอาคืนอยู่ ก่อนจะกดนิ้วลงบนกล้ามเนื้ออย่างแรงพยายามรีดเส้น “มือหนักไปนะปกติเคยแต่จับค้อนตีเหล็กหรือไงเบาลงหน่อย” เทพโดลอสบอกกับเอโลอิสก่อนจะหันไปมองอีธานที่เพิ่งยกแก้วน้ำมา สายตาของเขามองแก้วน้ำราวกับมันเป็นสิ่งแปลกปลอมจากโลกอื่น “นี่อะไร?” “น้ำครับ” “ขอโทษนะ แต่ข้าดื่มเฉพาะน้ำแร่บริสุทธิ์ช่วยไปเปลี่ยนมาให้ด้วย” อีธานยิ้มธุรกิจให้เทพโดลอสไปหนึ่งทีก่อนจะยกน้ำเปล่ากลับไปอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกเพื่อไปหาซื้อน้ำแร่มาเสิร์ฟให้ท่านเทพ ตอนนี้ทุกคนต้องอพยพย้ายมาเช่าโมเต็ลถูก ๆ อยู่ชั่วคราวเพราะไม่มีที่ไป มิหนำซ้ำยังได้สมาชิกใหม่มาเพิ่มอีกคนคือเทพโดลอสที่ปรากฎตัวต่อหน้าวินสตันและแมคเคย์ล่าในนามของชายที่ชื่อว่า นิค ฟิวรี เพื่อนเก่าของคุณหญิง (aka ชู้) ที่มาอยู่ด้วยชั่วคราว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชื่อนี้คิดสดตอนเดินผ่านโปสเตอร์อเวนเจอร์สแน่เลย "นวดต่ำกว่านี้อีกหน่อย สะบักสะบอมไปหมดเลยเนี่ย…ตั้งแต่วันที่ข้าโดนใครบางคนถีบที่ระเบียงวันนั้น” น้ำเสียงนั้นไม่พลาดที่จะใส่จังหวะเน้นหนักที่คำว่า ‘ถีบ’ แล้วส่งสายตามองไปที่เอโลอิสหนึ่งทีให้รู้ตัว ท่าทางแกล้งสำออยของเทพโดลอสดูน่าหมั่นไส้สุด ๆ สองคู่รักนั่นก็ดันเชื่ออีกว่าเขาเจ็บตัวจริง ๆ “ดูเหมือนว่าสองคนนี้กำลังชดใช้กรรมที่ก่อไว้กับท่านเทพเลยนะขอรับ” เคอร์ติสที่เกาะไหล่การ์เซียอยู่แอบกระซิบกระซาบกันสองคนแล้วมองดูสองคนนั้นที่กำลังโดนเทพโดลอสปั่นหัวอยู่ห่าง ๆ “ฉันก็ว่างั้น” การ์เซียเห็นด้วย “ที่นีช่างน่าเบื่อเสียจริง ทีวีก็เสียเปิดให้เช่าได้ยังไงกัน มิน่าล่ะค่าเช่าถึงได้ถูกนัก” “ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณนิคผมก็ไม่ได้มีเงินมากมายที่จะหาที่อยู่ดีกว่านี้ ที่ส่วนใหญ่ก็โดนท่านนายพลส่งคนมาข่มขู่จนไม่ยอมให้ผมเช่า จะมีก็แต่ที่นี่อยู่ห่างไกลจนคนของท่านนายพลไม่อาจหาพบ” “เจ้านายพลนั่นก็บ้าอำนาจเสียจริง…พวกมารความสุข!...ว่าแต่พวกเจ้าสองคนเป็นคู่รักกันหรือ?” คำถามนั้นทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปทันที วินสตันชะงักเล็กน้อย ขณะที่มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบต้นคอด้วยท่าทีเก้อเขิน ราวกับเขาเพิ่งโดนจับผิดในสิ่งที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง แมคเคย์ล่าเองก็ออกอาการอย่างเห็นได้ชัดใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เทพโดลอสยกมือขึ้นลูบคางเบา ๆ สายตาแฝงแววเจ้าเล่ห์จับจ้องไปที่แมคเคย์ล่าที่นั่งอยู่ห่างออกไป “จะว่าไป สวยเหมือนแม่เลยนะ” “อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะคะ!” เอโลอิสรีบพูดขัดขึ้นมาทันทีเพราะไม่ไว้ใจความคิดของเทพหัวงูพวกนี้ “เกลียดจริงเจ้าพวกเด็กรู้ทัน” เทพโดลอสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก แอ๊ดดดดด ประตูห้องโมเต็ลถูกเปิดออกเบา ๆ อีธานเดินกลับเข้ามาพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่ในมือ เสียงถุงกระทบกันแกรก ๆ ดึงความสนใจจากทุกคนในห้อง เขาจัดการรินน้ำใส่แก้วใบที่ดีที่สุดจากนั้นก็นำมาเสิร์ฟให้กับเทพโดลอส “น้ำแร่มาแล้วครับ” เทพโดลอสยิ้มอย่างพอใจหยิบแก้วน้ำนั้นขึ้นมาจิบ เขาทำเสียงดัง แจ่บ ๆ เหมือนกำลังพยายามรับรสของน้ำแร่นี้ พลางหรี่ตามองแก้วน้ำแล้วหันไปมองอีธาน “เอเวียงเหรอ?” อีธานยิ้มบาง ๆ สบาย ๆ ขณะพยักหน้าเบา ๆ "ใช่ครับ" "แต่ปกติข้ากินเปอริเอ้" เทพโดลอสตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติแต่แท้จริงก็คือตั้งใจแกล้งนั่นล่ะ อีธานไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกไปราวกับว่าเขาได้เตรียมการรับมือกับเรื่องนี้ไว้แล้ว เขาหยิบถุงพลาสติกใบใหญ่ขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง แล้วเริ่มหยิบขวดน้ำแร่ออกมาวางเรียงกัน ทีละขวด ทีละยี่ห้อ “เปอริเอ้…เฟรนช์เมาน์เทน… อควาฟีน่า… ฟิจิ…วอสส์…โซแลนเดอคาบราส์…อยากกินยี่ห้อไหนเลือกได้เลยครับ” น้ำแร่แทบทุกยี่ห้อที่หาได้ในบริเวณนี้ถูกตั้งเรียงอยู่ตรงหน้าท่านเทพโดลอส เรียกได้ว่าอยากกินยี่ห้อไหนก็มีหมด เทพโดลอสมองไปที่ขวดน้ำแร่ที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาเบื่อหน่ายที่แกล้งไม่สำเร็จ ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ ห้อง “เจ้าเด็กพวกนี้นี่สิ้นเปลืองจริง ๆ ไม่มีปัญญาเช่าที่พักที่ดีกว่านี้ แต่มีเงินมากว้านซื้อน้ำแร่ทุกยี่ห้อเนี่ยนะ” “นั่นมันเงินคนละส่วนนี่คะ เงินของวินสตันกับเงินของอีธานใช่กระเป๋าเดียวกันซะที่ไหน” เอโลอิสพูดขัดขึ้นมา “ยัง…ยังไม่สำนึกอีก คืนก่อนเจ้าทำอะไรข้าไว้จำไม่ได้หรือไง” สิ้นเสียงเทพโดลอสเอโลอิสก็ก้มหน้าหงอยเหมือนลูกหมาน้อยที่โดนเจ้านายดุและเลิกเถียงต่อ “มีเงินเช่าแค่โมเต็ลถูก ๆ แบบนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปแต่งเมียกันล่ะ?” คำพูดนั้นสุดจะแทงใจดำวินสตัน แท้จริงแล้วท่านเทพไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าคำพูดของเขาจะจี้ใจดำของใคร ก็แค่พูดไปตามที่คิด แต่เดมิก็อดทั้งสามส่งสายตาจ้องมองไปที่เทพโดลอสเป็นตาเดียวในเชิงตำหนิที่ทำให้บรรยากาศการสนทนานี้แย่ลง วินสตันนั่งเหม่อมองไปที่พื้น เขาพูดออกมาเสียงเบาเหมือนกำลังปลอบใจตัวเอง “ตอนนี้ท่านนายพลพยายามตัดทางทำกินของผม ก็คงต้องทนอยู่แบบนี้ไปก่อน…แต่ผมจะรีบหางาน หาเงินมาซื้อแหวนแล้วก็—” “อย่าไปพูดถึงแหวนเลยหนุ่มน้อย ริงป๊อบยังยากเลย” แหวนงั้นเหรอ… จริงด้วย! ดวงตาของเอโลอิสก็เปล่งประกายขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับมีหลอดไฟที่สว่างวาบขึ้นมาเหนือหัว ความคิดบางอย่างพุ่งผ่านสมองของเธอจนแทบจะกลายเป็นแผนงานในเสี้ยววินาที ทำไมจะต้องเสียเงินซื้อแหวนแพง ๆ ด้วย ในเมื่อเธอสามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้! เอโลอิสเอามือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบคางอย่างพิจารณา เธอเป็นลูกเทพเฮเฟตัสย่อมมีพรสวรรค์ในเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการประดิษฐ์มันขึ้นมา แค่แหวนสองวงน่ะสบายมาก “ถ้าไม่มีเงินซื้อก็สร้างมันขึ้นมาสิ” สายตาของทุกคนรวมถึงเทพโดลอสหันมาจ้องมองที่เธอเป็นตาเดียว ถ้าเป็นพวกเดมิก็อดหรือเทพโดลอสเองพวกเขาน่าจะรู้ดีว่าเรื่องแค่นี้เอโลอิสทำได้สบาย จะมีก็แต่สองคู่รักที่มีสีหน้าไม่แน่ใจปนเกรงใจเผยให้เห็นออกมา “คุณไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้นะ” วินสตันพูดขึ้น เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกรงใจ “ใช่ ๆ ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ แค่ไม่มีแหวนยังไงพวกเราก็แต่งงานกันได้—” แมคเคย์ล่าเห็นด้วย แต่ก่อนที่คำพูดของทั้งคู่จะจบลง เทพโดลอสที่นั่งฟังอยู่อย่างเงียบ ๆ ก็ยกมือขึ้นขัดจังหวะ ท่าทางของเขาเหมือนกำลังรำคาญเล็กน้อยที่คนอื่นคิดจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ “ไม่ได้สิ แต่งงานจะไม่มีแหวนได้ยังไงเหมือนกินสลัดที่ไม่มีผักเลยนะ” “ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า ฉันทำได้พวกเธอไม่เชื่อฝีมือของฉันหรือไงกัน” เอโลอิสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงความมั่นใจ เธอมองไปที่วินสตันและแมคเคย์ล่าด้วยสายตาแน่วแน่ อยากให้ทั้งสองเชื่อใจเธอ แต่ก่อนที่ใครจะพูดอะไรต่อ เสียงของเทพโดลอสก็ดังขึ้นขัดจังหวะ “ถ้าอย่างงั้นไม่ต้องฟังพวกเขา ข้าขอสั่งเจ้า...” เขาชี้นิ้วไปที่เอโลอิส “ทำแหวนให้พวกเขาสองคนเดี๋ยวนี้!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นราวกับเด็กที่เพิ่งคิดได้ว่าจะมีอะไรสนุก ๆ เกิดขึ้น

“อย่างไรเสียเจ้าก็ยังติดหนี้เรื่องที่ทำให้ข้าอารมณ์เสียอยู่…ข้าอยากเห็นงานแต่งงาน อยากเห็นสีหน้าเจ้านายพลนั่นตอนรู้ว่าลูกสาวตัวเองได้แต่งงานกับคนที่เขาไม่ได้จัดไว้” เทพโดลอสหยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แต่แฝงความชั่วร้ายไว้เต็มเปี่ยม “แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว!” แมคเคย์ล่าและวินสตันสบตากันอย่างลำบากใจ เพราะทั้งคู่ไม่ได้อยากรบกวนเอโลอิส แต่เมื่อคุณนิค ฟิวรีผู้นั้นพูดมาขนาดนี้แล้วพวกเขาก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก แม้ว่าท่านนายพลจะเป็นพ่อของแมคเคย์ล่าก็ตาม ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกก็ไม่ได้ดีอะไรอยู่แล้ว “รับบัญชาค่ะ พวกเธอรอเดี๋ยวนะฉันจะรีบไปรีบกลับ” ณ จุดนี้การทำให้เทพโดลอสพึงพอใจเป็นสิ่งที่อยู่อันดับต้น ๆ ของเอโลอิสเพราะเกรงว่าถ้าขัดใจหรือทำให้เขาอารมณ์เสียขึ้นมาอีกจะทำให้ภารกิจครั้งนี้ยุ่งยากกว่าเดิม เธอทำการสะพายกระเป๋าแล้วมุ่งหน้าไปยังที่สถานที่ที่เธอคิดไว้ เคอร์ติสเองพอเห็นลูกพี่ตัวเองกำลังจะไปก็กระโดดขึ้นไหล่ติดตามเอโลอิสไปด้วย ...ณ กองขยะรีไซเคิล... เอโลอิสเดินสำรวจอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเธอมองหาสิ่งของที่พอจะนำไปใช้ได้ ทั้งเศษลวด หินสีเล็ก ๆ ขนาดต่าง ๆ บางมุมเธอก็พบชิ้นส่วนจากเครื่องประดับเก่าที่ถูกทิ้งไป เธอรวบรวมสิ่งเหล่านี้ด้วยความชำนาญพลางคิดในหัวไปด้วยว่าควรจะเอาไปทำส่วนไหนของแหวน “ลวดนี่น่าจะแข็งแรงพอถ้าเอามาพันกัน ส่วนหินพวกนี้เอามาขัดขึ้นรูปหน่อยก็น่าจะเงาสวยทีเดียว” ขณะที่กำลังเลือกของในกองขยะ เอโลอิสก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ปกติ เสียงลมหายใจหนักหน่วงดังขึ้นจากด้านหลัง มันเป็นเสียงที่ชัดเจนเกินกว่าจะมองข้ามได้ เธอชะงักหยุดนิ่งไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองช้า ๆ เหมือนได้เห็นเพื่อนเก่า…วัวโคลคีสตัวใหญ่กำลังพ่นลมหายใจออกมาเป็นเปลวเพลิง บางทีเอโลอิสก็อยากรู้ว่าเจ้าวัวบ้านี้พ่อเธอสร้างไว้กี่ตัวกันไปที่ไหนก็เป็นอันต้องเจอมันทุกที “แกอีกแล้วเหรอเนี่ย” “คุณเอโลอิสสู้ ๆ นะขอรับ กระผมขอหาที่หลบก่อนจะเป็นนกกระทาย่าง” เคอร์ติสรีบลงจากไหล่เอโลอิสอย่างไวเพื่อหาที่หลบ ไม่มีใครอยากโดนย่างสดด้วยลมหายใจของมันแน่ “อ้าว…เคอร์ติส!” จะเรียกตอนนี้ก็คงไม่ทันเธอต้องรีบจัดการเจ้าวัวตรงหน้าก่อน เอโลอิสรีบถอยหลัง มือควานหาคันธนูที่เธอมักพกติดตัวไว้ เจ้าวัวโคลคีสพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเหมือนพร้อมจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า เธอรีบกระโดดหลบไปทางขวา พร้อมปล่อยลูกธนูออกไปแต่ก็โดนที่ตัวของมันซึ่งไม่ทำให้มันสะทกสะท้านใด ๆ ปึ้ง! ลูกธนูที่กระทบกับตัวมันดังสนั่นร่วงลงพื้นราวกับยิงใส่กำแพงเหล็ก ยิ่งยั่วโมโหทำให้มันพ่นลมหายใจออกมาเป็นเปลวเพลิง โชคดีที่เธอทนทานไฟมากพอที่จะไม่ได้รับผลกระทบมีเพียงชายเสื้อที่ไหม้ไปเล็กน้อย “เล็งไม่โดนแฮะ” แน่นอนว่าสิ่งที่เอโลอิสเล็งย่อมเป็นช่องรอยต่อที่เป็นจุดอ่อนของมัน เธอรวบรวมสมาธิอีกครั้ง จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนกองเศษวัสดุเพื่อหาที่มั่น เธอใส่ลูกธนูอีกดอกคราวนี้เล็งอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม เธอรอจังหวะที่วัวโคลคีสเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ และเมื่อมันพุ่งตรงเข้ามาเธอก็ปล่อยลูกธนูด้วยพลังทั้งหมด ลูกธนูพุ่งตรงปักเข้าช่องรอยต่อพอดิบพอดี วัวโคลคีสคำรามลั่น มันพยายามขยับตัวแต่ท่าทางเริ่มช้าลง มันทรุดลงกับพื้น ก่อนที่ดวงตาสีแดงจะดับลงและสลายเป็นละอองสีทอง เอโลอิสถอนหายใจอย่างโล่งอก ทันทีที่วัวตายเคอร์ติสก็เสนอหน้ากลับมาทันที มันน่านัก! เธอเก็บลูกธนูของตนเองและเดินกลับไปยังที่พักพร้อมวัสดุที่หามาได้เพื่อจะกลับไปทำการสร้างแหวนให้เสร็จ เมื่อกลับถึงที่พัก เอโลอิสก็จับจองโต๊ะและเริ่มลงมือทำแหวนทันที แมคเคย์ล่ากับวินสตันยืนดูอยู่ห่าง ๆ ด้วยความทึ่ง ส่วนเทพโดลอสจ้องมองกระบวนการจากบัลลังก์เก้าอี้พลาสติกที่เอโลอิสสร้างให้ แววตาของเขาดูพอใจไม่น้อย ใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงในที่สุดแหวนนั้นก็เสร็จสิ้น “เรียบร้อย!” เธอหยิบแหวนคู่สองวงที่ประดิษฐ์อย่างประณีตขึ้นมาโชว์ด้วยความภูมิใจ




“ว้าว!” แมคเคย์ล่าตาเป็นประกายเมื่อได้เห็นแหวนนั้น

“คุณมีฝีมือในการประดิษฐ์มากจริง ๆ เอโลอิส” วินสตันปรบมือชื่นชม

“ไหน ๆ แหวนสองวงนี้ก็เสร็จแล้ว คุณนิคช่วยให้เกียรติตั้งชื่อผลงานด้วยค่ะ” เอโลอิสใช้ทุกโอกาสเพื่อเลียแข้งเลียขาเทพโดลอสโดยหวังว่าเขาจะหายโกรธในเร็ววัน

“ของรักของข้า” เทพโดลอสตอบทันทีแบบไม่ใช้ความคิดอะไรให้มากมาย

“ท่านเห็นสองคนนี้เป็นกอลลั่มหรือไงคะ! ทำไมชื่อนี้” “ก็ข้าชอบชื่อนี้ ความหมายดีออก พวกเจ้าไม่คิดงั้นหรือ?” เทพโดลอสยักไหล่และตอบอย่างสบาย ๆ

“เอาน่า...ชื่อไหนก็ได้ทั้งนั้นชื่อดีก็มีความหมายดีอย่างที่คุณนิคว่านะ” แมคเคย์ล่ายังคงเป็นคนที่วิ่งวนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์โดยแท้ เหมือนเธอจะชอบแหวนที่เอโลอิสทำให้เอามาก ๆ

“เอาล่ะ ตอนนี้มีแหวนแล้ว พรุ่งนี้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม เราจะไปร่วมพิธีแต่งงานกัน!”

เทพโดลอสลุกขึ้นจากบัลลังก์พลาสติกและยิ้มกว้าง ทุกคนในห้องตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินคำพูดนั้น พวกเขามองหน้ากันอย่างงุนงง
“แต่งงาน?” แมคเคย์ล่าทวนซ้ำใจนึงก็แอบดีใจเล็ก ๆ และหวังมาตลอดว่าจะได้แต่งงานกับวินสตันแต่ทุกอย่างตอนนี้มาไม่ทันได้ตั้งตัวและเตรียมใจมาก่อน

“พรุ่งนี้เหรอ! ไวขนาดนั้นเชียว?” เอโลอิสยังแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

“แต่ศาลากลางบอสตันต้องรอยื่นเรื่องขอใบอนุญาตแต่งงานตั้ง 3 วันนะครับ เราแต่งพรุ่งนี้ไม่ได้หรอก” วินสตันพูดขึ้น อันที่จริงเขาเองก็ศึกษาเรื่องนี้มาบ้างเพราะวางแผนที่จะแต่งงานมานานแล้ว

"ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการให้ได้ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พร้อมกันที่ศาลากลางเมืองบอสตันข้าจะเตรียมการทุกอย่างไว้ให้พร้อม แล้วเจอกัน!”

เมื่อพูดจบเทพโดลอสก็หันหลังและออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการเรื่องของเขาให้เรียบร้อย ทิ้งให้คนอื่นติดสตั๊นอยู่แบบนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากจนตั้งตัวไม่ทัน เสื้อผ้าก็ยังไม่ทันได้หา ฤกษ์ยามก็ไม่มี แล้วแบบนี้การแต่งงานในวันพรุ่งนี้จะไปรอดหรือเปล่านะ?...





สินสงคราม: 
- ฟันเฟือง 2 หน่วย (เลขไบต์คู่)
- แปลนเฮเฟตัส (เลขไบต์ 1) 
- ลมหายใจเพลิง (เลขไบต์คี่ยกเว้น 1) 







แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
God
ดี: 5
  โพสต์ 2024-11-23 20:56
โพสต์ 37879 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-11-20 22:06
โพสต์ 37,879 ไบต์และได้รับ +20 EXP +20 เกียรติยศ +30 ความกล้า +25 ความศรัทธา จาก ควบคุมโลหะ  โพสต์ 2024-11-20 22:06
โพสต์ 37,879 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก ยอดนักสร้าง  โพสต์ 2024-11-20 22:06
โพสต์ 37,879 ไบต์และได้รับ +7 EXP +8 เกียรติยศ +10 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก หมวกนีเมียน  โพสต์ 2024-11-20 22:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
โพสต์ 2024-11-22 21:41:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Eloise เมื่อ 2024-11-22 22:07







แสงแดดยามสายทอแสงเหนือยอดศาลากลางเมืองบอสตัน ชาวเมืองเดินผ่านสวนกันไปมาต่างมุ่งสู่จุดหมายปลายทางของตนเช่นเดียวกับเดมิก็อดทั้งสามที่เพิ่งลงจากรถประจำทาง พวกเขาแต่งกายด้วยชุดสุภาพที่สุดเท่าที่จะพอหาได้ ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าภารกิจในครั้งนี้จะรวมถึงการร่วมงานแต่งงานเลยไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าพกมาด้วยขนาดนั้น ครั้นจะไปหาซื้อก็คงไม่ทัน ท่านเทพโดลอสเล่นวางกำหนดการมาแบบไม่ให้มีใครทันได้ตั้งตัวแบบนี้ มันทั้งน่าหงุดหงิดและน่ายินดีไปพร้อม ๆ กัน ถ้าวันนี้พิธีดำเนินไปอย่างราบรื่นก็คงจะต้องยกเครดิตให้ท่านเทพเสียหน่อย ถึงลึก ๆ จะรู้ว่ามันคือส่วนหนึ่งในการแก้เผ็ดเรื่องที่นายพลคิดจะอุ้มเขาไปนั่งยางก็เถอะ


พิธีในวันนี้เป็นพิธีแต่งงานแบบเรียบง่ายในศาลากลางเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายอันแสนแพงของพิธีในโบสถ์หรือการจัดงานเลี้ยงใหญ่โต พวกเขาเห็นตรงกันว่าแบบนี้ไม่เพียงเงียบสงบและอบอุ่นด้วยการมีพยานแค่คนสนิทเท่านั้น แต่ยังมีผลทางกฎหมายอย่างถูกต้องด้วย เหล่าเดมิก็อดในฐานะพ่อสื่อแม่สื่อและคนที่ต้องแก้กรรม (ในความคิดของคู่บ่าวสาว) จึงต้องมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญของแมคเคย์ล่าและวินสตัน


“หวังว่าพวกเราคงจะไม่ไปสายหรอกนะ”


“ไม่ต้องห่วงยังมีเวลาเหลืออีกตั้งครึ่งชั่วโมงแหนะ”


“นั่นสิ แมคเคย์ล่ากับวินสตันก็ล่วงหน้าไปจัดการเอกสารและเตรียมตัวรอที่นั่นแล้ว เราแค่ต้องไปให้ถึงทันเวลาพิธีก็พอ”


เสียงรองเท้าของทั้งสามคนดังสะท้อนเบา ๆ บนพื้นของโถงทางเดินที่ทอดยาวสู่ห้องพิธี อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะเดินไปถึงประตูห้องซึ่งเป็นปลายทางของพิธีสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้ แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้าวถึงปลายทาง บางสิ่งบางอย่างกลับปรากฏขึ้นขวางทางอย่างกะทันหัน 


“นี่…มัน…” สายตาของอีธานจ้องมองสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องหน้าตาไม่กะพริบ


เบื้องหน้าของทุกคนเป็นสฟิงซ์ร่างสูงใหญ่สง่างามที่โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบได้ มันนอนลงด้วยท่าทางเหมือนไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ไม่สนใจว่าจะมีใครต้องการผ่านทางหรือเปล่า 


“เอ่อ ขอโทษนะคะแต่ช่วยหลีกทางหน่อยได้ไหม?” เอโลอิสพยายามที่จะเจรจากับมันอย่างสันติ


เจ้าสฟิงซ์เหลือบตามองเอโลอิสเล็กน้อยก่อนจะเอียงหัวอย่างเกียจคร้าน มันอ้าปากและเปล่งเสียงออกมาราวกับกำลังบ่น


“เจ้าเดมิก็อดพวกนี้ช่างขัดจังหวะเวลานอนข้าเสียจริง ข้าอุตส่าห์เพิ่งหาที่เหมาะ ๆ ได้ก็จะมาให้ข้าถอยให้อีก ข้าไม่ถอย!”


“พูดงี้ก็สักฝุ่นไหมล่ะ!” เอโลอิสถกแขนเสื้อเตรียมพร้อมจะลุยเต็มที่


ไม่ทันที่เอโลอิสจะได้ชักธนูออกมาเคอร์ติสก็รีบตาลีตาเหลือกออกมาจากกระเป๋าเป้เพื่อขวางไว้เสียก่อน


“ดะ…เดี๋ยวขอรับคุณเอโลอิสทำแบบนั้นไม่ได้นะขอรับ เจ้าสฟิงซ์พวกนี้ไม่คุ้มที่จะใช้กำลังด้วย เราต้องวัดกันที่กำลังสมองขอรับ”


“หมายความว่าไง?” เอโลอิสเลิกคิ้วอย่างงุนงง


“เราจะต้องทำตามเงื่อนไขของมันแล้วมันก็จะปล่อยเราผ่านไปอย่างปลอดภัยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน”


เอโลอิสเงียบหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยอมเชื่อฟังเคอร์ติสดูสักครั้ง


“แล้วเงื่อนไขของแกคืออะไรเจ้าสฟิงซ์”


“เจ้าอยากให้ข้าหลีกทางหรือ? งั้นจงตอบคำถามของข้าให้ถูก 2 ใน 3 ข้อ แล้วข้าจะถอยให้” สฟิงซ์แสยะยิ้มมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดและคิดว่าไม่มีทางที่เดมิก็อดพวกนี้จะทายคำถามมันได้ถูก


“ตกลงถามมาเลยจะยากแค่ไหนกันเชียว” เอโลอิสตอบเสียงดังฟังชัด เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่เจ้าสฟิงซ์อย่างไม่เกรงกลัว ผิดกับการ์เซียและอีธานที่หันมองหน้ากันด้วยความกังวลเล็กน้อย เพราะเอโลอิสเองก็ไม่ได้ดูหน้าตาฉลาดอะไรขนาดนั้นบางที่อาจกลายเป็นพวกเขามากกว่าที่ต้องมาช่วยตอบคำถาม


“ถ้าเช่นนั้นนี่คือคำถามแรกของพวกเจ้า…ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด โอบล้อมทุกความหมายของคำว่า "รัก" ไว้ในวงกลมเล็ก ๆ?”


“อะไรวะ…” เอโลอิสกะพริบตาปริบ ๆ ถึงกับไปไม่เป็น เธอเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนหัวดี แต่คำถามนี้ทำเอาเธอชะงักเหมือนสมองถูกสั่งให้หยุดทำงานชั่วขณะ


ขณะที่ความเงียบครอบงำทั้งสามคน จู่ ๆ การ์เซียซึ่งยืนอยู่ด้านข้างกลับเบิกตากว้างเหมือนคิดอะไรออกบางอย่างสีหน้าของเธอดูมั่นอกมั่นใจมากทีเดียว


"แหวน ไง! ใช่ไหม? คำตอบคือ แหวน!" การ์เซียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่


“แน่ใจเหรอ?” อีธานหันไปถาม


“ฉันคิดว่าฉันแน่ใจ” การ์เซียยืนยัน


“งั้นก็ตามนั้น เจ้าสฟิงซ์คำตอบคือ แหวน!” เอโลอิสทสนคำตอบของการ์เซียให้สฟิงซ์ฟังอีกครั้ง


เจ้าสฟิงซ์เผยยิ้มออกมาแต่มันไม่ได้เฉลยคำตอบในทันที มันจ้องมองเหล่าเดมิก็อดราวกับกำลังชั่งน้ำหนักคำตอบนั้น…


"และคำตอบ…" เจ้าสฟิงซ์เอ่ยเสียงต่ำ ลากคำยาวราวกับจงใจเพิ่มความตื่นเต้นให้กับทั้งสามคน (กับอีก 1 ตัว)


ความเงียบที่ตามมาทำให้หัวใจของทั้งสามเต้นแรง ทุกคนจับจ้องไปที่เจ้าสฟิงซ์อย่างไม่ละสายตา ประหนึ่งว่าพวกเขาเป็นผู้เข้าแข่งขันรายการแฟนพันธุ์แท้ที่กำลังลุ้นเฉลยคำถามสุดท้ายเพื่อคว้ารางวัลใหญ่


“ถูกต้องนะคร้าบบบบบ!!!” เจ้าสฟิงซ์ประกาศลั่นประหนึ่งว่าเป็นคุณปัญญา


“เยส! เก่งมากการ์เซีย” เอโลอิสดีใจมากจนลืมตัวพึ่งเข้าไปกอดการ์เซียหนึ่งที เหมือนกับว่าเธอลืมไปแล้วว่านี่เป็นเพียงแค่คำถามข้อแรกเท่านั้นเอง


"อย่าเพิ่งดีใจไปนี่ยังแค่คำถามข้อแรก เจ้ามีอีกคำถามที่ต้องตอบ ถ้าถูกก็ผ่านเข้าไปได้ หากผิดต้องตอบข้อวัดชะตาในข้อที่ 3 ให้ถูก" เจ้าสฟิงซ์ออกมาด้วยความเย็นชา มันยังคงมีความสุขกับการนอนเกลือกกลิ้งขวางทางเดมิก็อดทั้งสามอยู่และไม่อยากให้เกมนี้จบเร็วเกินไปนัก


“เจ้านี่มารความสุขจริง คำถามข้อต่อไปคืออะไรว่ามา!” เอโลอิสเบะปาก เธอไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ตรงนี้มากมายเลยเร่งให้เจ้าสฟิงซ์รีบถามคำถามข้อที่สอง


“นี่คือคำถามข้อที่สองของพวกเจ้า…สัญลักษณ์แห่งปริศนาและปัญญา ยืนอยู่ท่ามกลางทรายและลมพายุ พร้อมทดสอบผู้ที่กล้าพิสูจน์ความรู้?” เสียงของเจ้าสฟิงซ์ก้องกังวาลไปทั่วโถงทางเดิน ท่าทางของมันเหมือนจะถ่วงเวลาให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้า ๆ 


“ถามง่ายเกินไปไหมนี่มันดูถูกกันชัด ๆ สัญลักษณ์แห่งปัญญาจะเป็นอะไรไปได้อีก ขอตอบว่านกฮูก!” เอโลอิสพูดออกไปด้วยรอยยิ้มกวน ๆ ราวกับว่าเธอมั่นใจในคำตอบนี้สุด ๆ


“นี่เธอโง่หรือแกล้งโง่น่ะ มันคือสฟิงซ์ต่างหาก!” อีธานที่มองไปที่เอโลอิสอย่างผิดหวัง ก่อนจะพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดในคำตอบที่แสนทึ่มของเธอ


“นั่นสิคำถามง่ายขนาดนี้ตอบผิดได้ยังไงกัน” การ์เซียเสริมเหมือนจะซ้ำเติมเพื่อนร่วมภารกิจ


“นี่! ขอเปลี่ยนคำตอบได้ไหม ตอบ สฟิงซ์” อีธานพูดออกไปอย่างรวดเร็ว หวังว่าเจ้าสฟิงซ์จะอนุโลมให้เปลี่ยนคำตอบ


“ไม่ได้ เดมิก็อดผมแดงคนนั้นตอบไปแล้วจะเปลี่ยนคำตอบไม่ได้…และแน่นอนว่าผิด” เจ้าสฟิงซ์ยิ้มอย่างชั่วร้าย มันรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากที่มีคนตอบคำถามของมันผิด


“เอาน่า ๆ ยังเหลืออีกข้อ คราวนี้ฉันจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่” เอโลอิสยังไม่อยากให้ทุกคนถอดใจ สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร อย่างน้อยก็เธอคนนึงที่จะไม่ยอมเป็นศพ ฉะนั้นคำถามข้อสุดท้ายนี้เธอจึงอยากจะตอบให้ได้ด้วยตัวเอง!


“จะไว้ใจได้ไหมเนี่ย?” การ์เซียเหลือบมองไปที่เอโลอิสด้วยความกังวล 


“นั่นสิ” อีธานพยักหน้าเห็นด้วย


“มาถึงคำถามวัดชะตาหากตอบข้อนี้ถูกข้าจะหลีกทางให้เจ้าเข้าห้องนั่นไป แต่หากผิดพวกเจ้าคงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เจ้าสฟิงซ์พูดอย่างยิ้มแย้ม แต่ในคำพูดนั้นกลับแฝงไปด้วยคำข่มขู่ราวกับมันจะไม่ปล่อยให้พวกเขาผ่านไปง่าย ๆ


“นี่คือคำถามตัดสินชะตาของพวกเจ้า…ไร้เสียง ไร้ร่าง ไร้กลิ่น แต่สามารถสร้างรอยยิ้มและน้ำตาให้คนทั้งโลก”


เหล่าเดมิก็อดต่างมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเพราะกลัวจะตอบผิด สมองของพวกเขากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาคำตอบของคำถามนี้ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบหากตอบข้อนี้ผิดแน่นอนว่าเจ้าสฟิงซ์จะไม่ปล่อยให้พวกเขารอดไปแน่ ทุกคนรีบสุมหัวกันคุยเสียงเบาเพื่อไม่ให้สฟิงซ์ได้ยิน


“สร้างรอยยิ้มและน้ำตานี่มันอะไรกัน บ้องกัญชาเรอะ!” เอโลอิสกระซิบกับเพื่อนร่วมภารกิจเบา ๆ เธอรู้แหละว่านี่ไม่น่าใช่คำตอบแต่กำลังวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้อยู่


“แต่กัญชามันมีกลิ่นจะเป็นคำตอบนั้นได้ยังไงเล่า” การ์เซียแย้ง


“เบา ๆ หน่อยนะขอรับเดี๋ยวสฟิงซ์จะคิดว่าพวกเรายืนยันคำตอบแล้ว” เคอร์ติสพูดเสียงเบา ตอนนี้พวกเขาต้องระมัดระวังทุกคำตอบที่จะเปล่งเสียงออกไป ต้องไม่ทำให้เจ้าสฟิงซ์จับได้ว่าพวกเขากำลังคิดคำตอบกันอยู่


“แก๊สน้ำตานี่มีกลิ่นไหมอะ?” อีธานถามขึ้นบ้างโดยที่ยังคงพูดเสียงต่ำเพราะไม่แน่ใจว่าคำตอบนี้จะถูกหรือไม่


“คิดว่านั่นคือคำตอบเหรอ เจ้าสฟิงซ์มันรู้จักแก๊สน้ำตาด้วยเหรอ?” เอโลอิสแย้งขึ้นมาบ้าง


ไร้เสียง ไร้ร่าง ไร้กลิ่น แต่สามารถสร้างรอยยิ้มและน้ำตาให้คนทั้งโลก…คำถามนี้กลับมาหลอกหลอนความคิดของทุกคน การแสวงหาคำตอบทำให้พวกเขาหวนคิดถึงสิ่งที่พวกเขาเคยประสบพบเจอในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ จู่ ๆ ก็หวนนึกถึงเรื่องของแมคเคย์ล่าและวินสตันขึ้นมาทั้งคู่มีความรักที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายทั้งเรื่องครอบครัว ฐานะ ทำให้น้ำตาตกในได้ แต่ในเวลาเดียวกันการที่พวกเขายังมีกันและกันก็ทำให้พวกเขามีความสุขและยิ้มได้ แม้มันไม่มองเห็นด้วยตา แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ด้วยหัวใจของพวกเขา


จริงด้วย!…


สิ่งนั้น…


มันคือ…


“ความรัก…” เอโลอิสพูดเบา ๆ คำตอบที่เธอเชื่อว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เธอนึกถึงความรักของแมคเคย์ล่าและวินสตันในช่วงเวลายากลำบากที่ต้องเผชิญ มันมีพลังที่จะสร้างทั้งรอยยิ้มและน้ำตาได้ อีกทั้งยังไร้เสียง ไร้ร่าง ไร้กลิ่น ตรงเป๊ะ โป๊ะเช๊ะ!


“ใช่แล้ว…ความรัก!” การ์เซียเห็นด้วยกับคำตอบนี้


“งั้นพวกเรายืนยันตามคำตอบนี้เลยมั้ย?” อีธานถามทุกคน


“เอาล่ะ! เจ้าสฟิงซ์พวกเราได้คำตอบแล้ว มันก็คือ…ความรักยังไงล่ะ!” เอโลอิสพูดออกมาเสียงดังด้วยความมั่นใจ บทพิสูจน์จากช่วงเวลาที่ผ่านมาของพวกเขาทุกคนได้เชื่อมโยงมาถึงคำตอบนั้นแล้ว


“แน่ใจหรือว่าพวกเจ้าต้องการตอบเช่นนี้” เจ้าสฟิงซ์ถามซ้ำเหมือนต้องการให้ทุกคนไขว้เขวในคำตอบ


“แน่นอน อย่าเสียเวลาใกล้เริ่มพิธีแล้วอย่ามาลีลาให้มาก เฉลยมา!” เอโลอิสตอบอย่างมั่นใจพร้อมทั้งยักไหล่เหมือนไม่ยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้น


“และคำตอบ…ถะ…ถะ…ถะ…” 


“ถูกแน่นอน..ถูก” เอโลอิสลุ้นตัวโก่ง


“ถ้ามีเวลาอีกสองสามนาที ข้าจะขอนำเสนอสิ่งดี ๆ” เจ้าสฟิงซ์เล่นกับคำพูดของมันอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม


“นี่มันไม่ใช่เวลามาขายตรงเฟร้ยยยยย คำตอบล่ะ?” เอโลอิสเริ่มทนไม่ไหว ตะโกนใส่มันเสียงดังด้วยความรำคาญ


“ก็ได้ ๆ คำตอบ…ถะ…ถะ…ถะ…” 


“ถูกสิถูก…” การ์เซียพูดเบา ๆ แต่ในใจลุ้นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว


“ถูก…สาธุ…” อีธานพูดขณะหลับตาลงภาวนา


ในขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เจ้าสฟิงซ์ก็ประกาศด้วยเสียงที่ชัดเจนและหนักแน่น


“ถูกต้องนะคร้าบบบบบ!!!” สิ้นเสียงของเจ้าสฟิงซ์ความกดดันทั้งหมดก็เหมือนถูกปลดปล่อยออกไปอย่างสิ้นเชิง


กรี๊ดดดดด ถ้วยสุดยอดแฟนพันธุ์แท้อยู่ไหน!” เอโลอิสดีใจสุด ๆ หันไปแท็กมือกับเพื่อนทุกคน


“ในเมื่อพวกเจ้าตอบถูกข้าก็จะทำตามสัญญา พวกเจ้าผ่านไปได้” เจ้าสฟิงซ์พูดขึ้นก่อนที่มันจะย้ายร่างแสนขี้เกียจของตนเองเพื่อหลีกทางให้ทุกคนไปยังห้องประกอบพิธีแต่งงาน


“เยี่ยม!”


เอโลอิสยิ้มกว้างด้วยความโล่งใจที่ได้คำตอบที่ถูกต้อง ทุกคนพร้อมใจกันเดินไปยังจุดหมายปลายทาง หลังจากแง้มประตูเปิดเข้าไปในห้องก็พบว่าเป็นห้องที่เรียบง่ายและอบอุ่น ไม่ใช่ห้องหรูหราอลังการอะไร แต่กลับเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีสมรส วินสตันยืนอยู่กลางห้องในชุดสูทเก่า ๆ ที่พอหาได้ เห็นได้ชัดว่ามันดูเหมือนพวกชุดสูทที่ใช้ในการสมัครงานอะไรทำนองนั้น ข้าง ๆ เขาคือแมคเคย์ล่าในชุดเดรสสีขาวที่ดูเรียบง่ายแต่สวยงาม แม้จะเป็นเดรสแสนเรียบง่ายแต่ดูก็รู้ว่าเป็นแบรนด์เนมแพงหูฉี่เพราะเธอเกิดในตระกูลคนรวย แม้แต่ชุดที่แสนธรรมดาก็ย่อมมีราคา ใบหน้าของทั้งสองคนดูมีความสุขมากที่กำลังจะได้เป็นคู่ชีวิตกัน


ตัดภาพมาที่อีกด้านก็มีท่านเทพโดลอสในชุดสูทเต็มยศเล่นใหญ่ตามสไตล์ แถมยังยืนในตำแหน่งของพ่อเจ้าสาว…อะไรวะ? ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ผู้ทำพิธีก็คิดว่าเขาเป็นพ่อเจ้าสาวจริง ๆ เสียด้วยสิ


เดมิก็อดทั้งสามยิ้มให้กันก่อนจะมองไปที่วินสตันและแมคเคย์ล่า พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าพิธีนี้ถึงแม้จะไม่อลังการ แต่ทุกสิ่งในห้องนี้กลับมีความหมายลึกซึ้งและเต็มไปด้วยความรักที่แท้จริง


พิธีเริ่มต้นขึ้นโดยเจ้าหน้าที่พิธีการเริ่มกล่าวคำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับพิธีสมรสที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความเป็นทางการและความอบอุ่นในเวลาเดียวกัน


"วันนี้เราอยู่ที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองการผูกพันระหว่างสองจิตใจ ที่จะก้าวเดินร่วมกันในเส้นทางชีวิต…"


ฉากตรงหน้าทำเอาการ์เซียถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ จนเอโลอิสต้องยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น บางทีเอโลอิสก็แอบคิดว่าเทพโดลอสใช้วิธีเล่นแร่แปรธาตุอะไรทำไมถึงสามารถลัดคิวคนอื่นมาจัดพิธีในวันนี้ได้อย่างง่ายดายนัก แต่พอมาคิดอีกเขาเป็นเทพฉะนั้นอะไรก็สามารถบันดาลได้หมดนั่นแหละ พิธีดำเนินต่อไปตามขั้นตอนจนในที่สุดก็ถึงเวลาสำคัญ…


"ด้วยคำสาบานที่เต็มไปด้วยความรักและความเชื่อมั่นนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศให้ทั้งสองท่านเป็นสามีภรรยากัน"


เสียงปรบมือดังทั่วห้อง วินสตันและแมคเคย์ล่าจุมพิตกัน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นและสวยงาม ไม่มีอะไรขัดขวาง สีหน้าของเทพโดลอสเต็มไปด้วยความพอใจที่พิธีทุกอย่างดำเนินการเรียบร้อยเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ แต่ไม่รู้ว่าภายในใจของเทพองค์นี้กำลังคิดอะไรแผลง ๆ อยู่หรือไม่…เดมิก็อดทุกคนก็ได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆ นานา หวังเพียงอย่างเดียวว่าจะไม่ก่อเรื่องราวอะไรที่ไม่เข้าท่าขึ้นอีกหลังจากวันนี้…





(ครั้งแรก) +2 ตื่นรู้
สินสงคราม: หินแห่งปัญญา







แสดงความคิดเห็น

God
ดูเหมือนเป็นเสียงท่านนายพลโทรโข่งให้ยอมแพ้ซะ และคุณหันไปทางเทพโดลอสแต่เขาหายไปแล้ว คนที่เคยยืนตรงนั้นหายไปแล้ว  โพสต์ 2024-11-23 21:00
God
เสียงปืนดังสนั่นยิงเข้ามาภายในโบสถ์รัว ๆ  โพสต์ 2024-11-23 20:58
โพสต์ 47287 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-11-22 21:41
โพสต์ 47,287 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา +30 ความกล้า จาก ควบคุมโลหะ  โพสต์ 2024-11-22 21:41
โพสต์ 47,287 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] เกียรติยศ [ถูกบล็อค] ความศรัทธา จาก ยอดนักสร้าง  โพสต์ 2024-11-22 21:41

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
โพสต์ 2024-11-25 23:31:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด





Trigger Warning : มีเนื้อเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง เลือด และการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ 


งานแต่งงานระหว่างแมคเคย์ล่าและวินสตันดำเนินไปอย่างงดงามในบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยความสุข แขกทุกคน (ที่มีแต่เดมิก็อด เทพโดลอส และนกกระทาหนึ่งตัว) ต่างกำลังจัดท่าทางเพื่อเตรียมสำหรับการถ่ายรูปรวมเป็นที่ระลึก


“เอาล่ะทุกคนมาถ่ายรูปรวมกันค่ะ” ในที่สุดชุดกล้องที่การ์เซียได้พกมาก็ถึงเวลาได้ออกมาใช้เสียที เธอก้าวถอยหลังปรับเลนส์ เช็กแสงในเฟรมอย่างพิถีพิถัน


"โอเค เข้าใกล้ ๆ กันอีกหน่อยค่ะ นี่เอโลอิสยิ้มให้มันธรรมชาติหน่อยหน้าเธอยิ้มเกร็งไปแล้วนะ”


เอโลอิสที่ยืนอยู่ด้านขวาของเฟรม ยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเองอย่างงุนงงนี่หน้าเธอเกร็งไปงั้นเหรอ?...เธอพยายามยิ้มกว้างกว่าเดิม แต่กลับดูเหมือนจะฝืนหนักกว่าเดิมอีก


“นี่มันแย่กว่าเดิมอีก! เอาเถอะ! จะทำหน้ายังไงก็เรื่องของเธอแล้วกัน ขอแค่ไม่ทำหน้าเหมือนคนกลัวกล้องก็พอแล้ว” สายตาการ์เซียเหลือบไปเห็นอีธานที่ยืนข้างเจ้าบ่าวตัวแทบจะบังวินสตันไปครึ่งตัว


“อีธานอย่ายืนบังเจ้าบ่าวเขยิบไปอีก”


อีธานถอนหายใจยาวเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวไปทางด้านข้างอีกหน่อย 


"แบบนี้พอไหม?" 


“โอเค สวยมากฉันจะนับถึงสามนะ ยิ้มให้สวย ๆ…หนึ่ง…สอง…สา—”


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


เสียงรัวกระสุนดังสนั่นทำลายบรรยากาศแห่งความสุขในชั่วพริบตาทะลุกำแพงเข้ามาด้านในห้องทำพิธี


“ทุกคนหมอบลง!” อีธานตะโกนสั่งเสียงดัง พยายามรักษาสติท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย


“นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือยังไงนี่…ศาลากลางเมืองบอสตันนะบุกยิงได้ด้วยเหรอ!” เอโลอิสที่ตอนนี้หลบอยู่ได้โต๊ะพูดบ่นออกมาเสียงดัง


ทันใดนั้นเสียงหอนของโทรโข่งก็ดังลอดเข้ามาจากด้านนอกพร้อมกับเสียงพูดขาด ๆ หาย ๆ


“ฮัลโหล ๆ เทส ๆ อะแฮ่ม ๆ”  


ทุกคนหยุดนิ่งไปชั่วครู่ทำหน้าอิหยังวะกับคุณภาพเสียงระดับไมค์อบต.ของโทรโข่งอันนี้ ก่อนที่จะได้ยินเสียงบ่นเบา ๆ แต่ชัดเจนจากโทรโข่งเหมือนกับว่าคนข้างนอกกำลังคุยกันอยู่


“โทรโข่งนี่หอนชะมัด! เอาอันใหม่มาเปลี่ยนซิ”


เสียงหอนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงดังจากโทรโข่งลอดเข้ามาอีกครั้งคราวนี้ชัดแจ๋วกว่าเดิมราวกับว่าทุกอย่างได้ถูกสับเปลี่ยนเป็นโทรโข่งอันใหม่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเสียงจริงจังจากชายวัยกลางคนที่แสนคุ้นก็ดังขึ้นมา


“อะแฮ่ม ๆ หนึ่ง…สอง…สาม…สี่…เทส…นี่คือเสียงของนายพลแอนเดอร์สัน ฉันทำได้ทำการล้อมพวกแกไว้หมดแล้วจงยอมแพ้ซะ! แล้วส่งแมคเคย์ล่า แอนเดอร์สันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”


ขวัญเอ้ยขวัญมา…เอโลอิสตบที่อกเบา ๆ สองสามทีเพื่อเรียกขวัญจากเหตุการณ์กระหน่ำยิงอันน่าสะพรึงนี้ สถานการณ์แบบนี้มันเกินคาดเดาลำพังเด็กวัยรุ่นแค่ไม่กี่คนจะควบคุมสถานการณ์นี้ได้ยังไง อย่างน้อยก็ควรจะมีคนเก่ง ๆ ผู้ใหญ่เทพ ๆ สักคนมาช่วยสิ…ใช่! เทพ…เทพ…เทพ…มีเทพโดลอสอยู่ในงานด้วยนี่นา!


“จริงสิ! เรามีคุณนิค ฟิวรีอยู่ด้วยนี่ ไม่ต้องกลัวหรอก…ใช่ไหมคุณนิ—-”


เธอหยุดพูดกะทันหัน มองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาแตกตื่น…เอ๋?…


หายไปแล้ว!!! หายไปเฉยเลย!!!


เทพโดลอสในคราบของ คุณนิค ฟิวรี หายไปในพริบตาเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่ที่นั่น สายตาของทุกคนที่หมอบอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของห้องยังคงมองไปที่จุดที่เทพโดลอสยืนอยู่เมื่อครู่ แม้แต่เงาของเขาก็ยังไม่หลงเหลืออยู่เลย สมกับเป็นเทพแห่งคำลวง ปลิ้นปล้อนไม่มีใครเกินจริง ๆ พอเกิดเรื่องก็เผ่นแน่บก่อนเพื่อนเลยให้ตายเถอะ!


เดมิก็อดทั้งสามคนยืนขึ้นจากที่ซ่อนตัวในเมื่อไม่มีเทพอยู่คุ้มกะลาหัวก็มีเพียงต้องปกป้องกันเองและปกป้องผู้บริสุทธิ์อีกสามคนในห้องคือ แมคเคย์ล่า วินสตัน และเจ้าพนักงานผู้ดำเนินพิธีแต่งงานอีกหนึ่งคน พวกเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้ากับนายพลแอนเดอร์สัน ผู้ที่มีอำนาจทางการทหารล้นมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าต้องปกป้องชีวิตของทุกคนในห้องนี้พวกเขาก็ต้องยืนหยัดและพร้อมสู้!


เอโลอิสตั้งสมาธิเต็มที่ร่างเธอยืนนิ่งอยู่กลางห้อง เธอยกมือขึ้นอย่างแน่วแน่พยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ตรงหน้าไว้ให้ได้ เธอเป็นคนเดียวในห้องนี้ที่มีพลังของเทพเฮเฟตัสที่สามารถควบคุมโลหะได้ ฉะนั้นเธอต้องพยายามที่จะหยุดลูกตะกั่วพวกนั้นให้ได้มากที่สุด เอโลอิสเริ่มใช้พลังที่เธอมีเพื่อต้านโลหะทุกอย่างที่ทะลุกำแพงเข้ามา กระสุนที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วถูกหยุดกลางคันก่อนจะร่วงลงพื้นอย่างไร้พลัง เสียงกระสุนกระทบพื้นดังเป็นจังหวะต่อเนื่องเหมือนเสียงฝนกระทบหลังคา โชคดีทุกมนุษย์ธรรมดาในห้องทุกคนต่างกำลังตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัวก้มหน้าหมอบหลับตาปี๋ จึงไม่เห็นสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ มิฉะนั้นเธอคงจะต้องหาข้ออ้างสารพัดมาแก้ตัวให้เรื่องเหนือธรรมชาตินี้


เอโลอิสเริ่มกัดฟันแน่น ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อยจากการใช้พลังอย่างหนัก คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะต้านทานกระสุนพวกนี้ไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้นเองเสียงกระสุนที่รัวเข้ามาก็หยุดลงกะทันหัน ความเงียบเข้ามาแทนที่ ทุกคนในห้องต่างเหลียวมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง ก่อนที่เสียงโทรโข่งจะดังขึ้นจากข้างนอกอีกครั้ง


“กระสุนครั้งนี้เป็นการเตือน เวฟต่อไปจะจัดชุดใหญ่ไฟกะพริบกว่านี้ หากอยากให้ทุกคนปลอดภัยจงส่งแมคเคย์ล่ามาให้ฉัน!” น้ำเสียงอันแข็งกร้าวของท่านนายพลทำให้ความเงียบในห้องเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดอีกครั้ง


“เอโลอิสเธอโอเคไหม?” การ์เซียรีบวิ่งเข้ามาหาเอโลอิสที่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเพราะความเหนื่อยล้าจากการใช้พลังงานจำนวนมากในการควบคุมลูกตะกั่วให้หยุดกลางอากาศ


“เธอพักเถอะ ฉันจะออกไปลุยกับพวกเขาเอง!” อีธานเข้ามาช่วยอีกแรง เขาพยุงแขนของเอโลอิสอีกข้างเพื่อช่วยประคองเธอให้ลุกขึ้นมา


“ฉันก็จะไปด้วย” การ์เซียพูดเสริม


“พูดบ้าอะไรน่ะ ฉันยังไหวถ้าพวกเธอไปยังไงฉันก็จะไปด้วย” เอโลอิสตอบกลับอย่างดื้อรั้น เธอเป็นคนชวนพวกเขามาทำภารกิจนี้ จะปล่อยให้พวกเขาแบบรับสถานการณ์เพียงสองคนได้อย่างไรกัน


“เธอดูสภาพตัวเองตอนนี้สิ เธอต้องพัก…แรงของเธอตอนนี้จะไปสู้กับคนพวกนั้นได้ยังไงกัน!” การ์เซียพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังยังไงเอโลอิสก็ไม่ควรใช้พลังไปมากกว่านี้ หากเกินขีดจำกัดมากเกินไปอาจอันตรายกับตัวเธอได้ 


“ทุกคนพอเถอะ!...” เสียงตะโกนของแมคเคย์ล่าดังขึ้นขัดจังหวะการโต้เถียงของเดมิก็อดทั้งสาม เธอลุกขึ้นจากจุดที่หลบกระสุนก่อนจะก้าวมาข้างหน้า “พอแล้วล่ะ…ฉันจะเป็นคนไปเอง…” 


“อะไรนะแมคเคย์ล่าเธอจะมอบตัวกับพ่อของเธอเหรอ!” เอโลอิสหันขวับไปถามแมคเคย์ล่าอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง


แมคเคย์ล่าพยักหน้า ใบหน้าของเธอเหมือนจะร้องไห้ออกมาแต่กลั้นเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยเหตุพลที่ต้องการออกไปเผชิญหน้ากับพ่อของตน


“ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะฉันอีกแล้ว ในเมื่อฉันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ฉันก็จะออกไปเพื่อคุยกับพ่อของฉันเอง!”


แมคเคย์ล่าสูดหายใจเข้าลึก โดยปกติแล้วคุณหนูที่แสนบอบบางอย่างเธอนั้นขี้กลัวเป็นที่สุด โดยเฉพาะหากเป็นบุคคลอย่างท่านนายพลแล้วหัวใจของเธอก็เต้นรัวด้วยความกลัวเป็นอย่างยิ่ง เสียงฝีเท้าของเธอที่กำลังเดินไปที่ประตูดังก้องไปทั่วห้องพิธี มือที่กำลังจะจับลูกบิดออกไปกลับถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือของวินสตัน


“เดี๋ยว!...” น้ำเสียงของวินสตันเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ฉันจะไปด้วย”


“แต่ว่า—”


“ตอนนี้พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ควรเผชิญหน้าไปด้วยกัน” วินสตันไม่ยอมให้แมคเคย์ล่าพูดจบเขาจับมือของเธอแน่น ในเมื่อเขามีส่วนร่วมในความผิดครั้งนี้ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนรักของตนเผชิญเรื่องนี้เพียงลำพังแน่นอน 


“ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี” วินสตันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น


แมคเคย์ล่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าดวงตาของเธอฉายแววความมุ่งมั่นขึ้นมาทันที ความกลัวในตอนแรกบัดนี้พลันหายไปหมดสิ้น พวกเขาสบตากันราวกับโลกทั้งใบเหลือเพียงเขาสองคน…ส่วนเดมิก็อตทั้งสามและเจ้าพนักงานก็ไม่มีอะไรจะพูดเพราะทุกอย่างล้วนเป็นความประสงค์ของทั้งแมคเคย์ล่าและวินสตัน


ทั้งสองจับมือกันแน่นก่อนจะก้าวออกไปพร้อมกัน ขณะที่เดมิก็อดทั้งสามคนตามหลังมาติด ๆ โดยที่เอโลอิสไม่ลืมจะหันไปพูดกับเจ้าพนักงานทำพิธีก่อนเดินออกจากห้องว่า…


“หมดบทของคุณแล้วค่ะ รีบออกไปตอนนี้แล้วหาวิธีโทรแจ้ง 911 ซะ!”


“คะ..ครับ!” เจ้าพนักงานรีบตอบก่อนจะรีบเผ่นหนีออกจากห้องในช่วงที่เวฟกระสุนหมดไปนี้


นายพลยืนอยู่ท่ามกลางกองกำลังของเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ เมื่อเห็นร่างของแมคเคย์ล่าลูกสาวของเขาก้าวออกมาจากศาลากลางเมืองบอสตัน แต่รอยยิ้มนั้นกลับหายวับไปในทันทีเมื่อสายตาเขาเหลือบไปเห็นวินสตันที่เดินเคียงข้างและจับมือแมคเคย์ล่าไว้แน่น สายตาของเขาจ้องมองไปที่วินสตันอย่างไม่พอใจ แมคเคย์ล่าเดินมาหยุดตรงหน้าของท่านนายพลก่อนจะเริ่มพูดกับพ่อของเธอ


“พ่อคะ ได้โปรดหยุดทุกอย่างไว้เท่านี้เถอะค่ะ หนูจะยอมกลับไปกับพ่อขอเพียงแค่พ่อปล่อยวินสตันกับทุกคนไป จะลงโทษหนูอย่างไรก็ได้”


ท่านนายพลมองลูกสาวด้วยสายตาที่เย็นชา เขายืนนิ่งคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างคิดหนัก แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ตอบอะไรวินสตันก็ขัดขึ้นมาก่อน


“ไม่ครับท่านนายพล นี่ไม่ใช่ความผิดของแมคเคย์ล่าอย่าลงโทษเธอ ผมน้อมรับทุกอย่างขอแค่ปล่อยทุกคนไปผมยินดีรับผิดชอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้น” วินสตันพูดด้วยเสียงหนักแน่น


“รับผิดชอบ…คนอย่างนายน่ะเหรอ? กล้าดีนี่” น้ำเสียงของท่านนายพลเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เขาหัวเราะในลำคอ สายตาที่เขามองไปที่วินสตันนั้นแข็งกร้าวและดูหมิ่น


“ไม่นะ วินสตันฉันเป็นคนหนีมาเองนี่ไม่ใช่ความผิดเธอ” แมคเคย์ล่าแย้งขึ้นมา


“ลูกรัก…เอาอย่างนี้หลีกไปก่อน ขอพ่อคุยกับพ่อหนุ่มคนนี้อย่างลูกผู้ชาย พ่อรับรองว่าทุกอย่างจะดีขึ้น…”


ท่านนายพลหันไปพูดกับแมคเคย์ล่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แมคเคย์ล่ามองพ่อของเธอด้วยความลังเล ก่อนจะยอมถอยออกไป แต่ทันทีที่เธอทำเช่นนั้นลูกน้องของนายพลก็พุ่งเข้ามาล็อกแขนเธอทั้งสองข้างไว้จนไม่สามารถขยับตัวได้ วินสตันหันไปมองด้วยความตกใจและพยายามจะพูดอะไรกับท่านนายพล แต่ก่อนที่เขาจะได้รับโอกาสนั้น นายพลก็พูดขึ้นเสียงดุดัน


“ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง…ถ้าไม่มีแกสักคน!”


สิ้นเสียง นายพลก็กระชากเอาอาวุธปืนจากมือของลูกน้องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วกดไกปืนรัว ๆ เสียงปืนดังลั่นไปทั่วบริเวณหน้าศาลากลางเมืองบอสตัน กระสุนพุ่งตรงไปยังร่างของวินสตันอย่างไม่ยั้งมือ ท่านนายพลหัวเราะด้วยความสะใจอย่างบ้าคลั่ง แมคเคย์ล่ากรีดร้องด้วยความตกใจ


“วินสตัน!!!”


เหล่าเดมิก็อดที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดช็อกจนพูดไม่ออก เอโลอิสพยายามใช้พลังควบคุมโลหะเพื่อหยุดกระสุนนั้นไว้ แต่เมื่อเธอลองใช้พลังดูกลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าในร่างกาย พลังงานที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะหยุดกระสุนที่พุ่งเข้าใส่วินสตันได้ ภาพตรงหน้าจึงเป็นภาพของกระสุนที่พุ่งใส่วินสตัน เธอมองภาพนั้นอย่างเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้ ทุกอย่างมันเกินการควบคุมไปแล้ว 


ในขณะที่ทุกคนยังคงตกตะลึงกับการกระทำอันอุกอาจของนายพลคลั่งผู้นั่น จู่ ๆ ลูกน้องที่ยึดแขนของแมคเคย์ล่าไว้ก็ถูกพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นทำให้พวกเขาร่วงลงไปด้วยแรงมหาศาลทำให้แมคเคย์ล่าหลุดออกจากการจับกุม เธอพุ่งไปข้างหน้าและกอดร่างของวินสตันไว้ใช้ร่างของตนเองบังกระสุนที่พุ่งเข้ามาหาคนรักของเธอ กระสุนที่พุ่งเข้ามากระทบทั้งแมคเคย์ล่าและวินสตันจนพวกเขาทั้งสองล้มลงไปหลังจากได้รับแผลจากลูกตะกั่วหลายจุด


นายพลมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ เขาหยุดยิงมือไม้อ่อนจนทำปืนร่วงลงพื้น มองร่างลูกสาวที่เขายิงด้วยน้ำมือของตนและเริ่มสติแตกขึ้นมา เขาทรุดลงกับพื้นเบื้องหน้าคือสองร่างที่เลือดไหลออกมามากมาย


“ไม่…ไม่…ฉันไม่ได้ทำ” เสียงของนายพลสั่นเครือ มือของเขาเริ่มทึ้งหัวของตัวเอง ทุกอย่างดูเหมือนฝันร้ายที่กำลังหลอกหลอนเขาอยู่


อีธานที่สังเกตเห็นความตกใจของนายพลเขารีบพุ่งตัวเข้าไปใช้จังหวะนี้เตะปืนที่หลุดจากมือของนายพลออกไปให้ไกลจากตัวเขา เดมิก็อดทั้งสองคนที่เหลือรีบเข้ามาดูอาการของแมคเคย์ล่าและวินสตันในทันที พวกเขาพยายามหยุดเลือดและทำการปฐมพยาบาลอย่างเร่งด่วน การ์เซียรีบบอกให้คนแถวนั้นเรียกรถพยาบาลโดยด่วน


ท่านนายพลที่เห็นทุกคนพยายามที่จะช่วยเหลือลูกของเขา ก็เริ่มพึมพำกับตัวเองเหมือนว่าเขาจะเริ่มคิดได้และรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น


“พ่อขอโทษ...ขอโทษ...” เขาพูดซ้ำไปซ้ำมา น้ำตาเริ่มไหลออกจากดวงตาของเขา 


เอโลอิสและอีธานพยายามกดบาดแผลของทั้งสองคนเพื่อหยุดเลือดที่ไหลไม่หยุด เธอหันไปทางการ์เซียเพื่อดูว่าอีกฝ่ายได้หาทางติดต่อรถพยาบาลแล้วหรือยัง เมื่อการ์เซียทำสัญญาณมือว่าเรียบร้อยก็รีบหันกลับมาดูอาการทั้งสองพยายามชวนคุยไม่ให้ทั้งสองหลับ


“อดทนไว้นะทั้งสองคนอีกไม่นานรถพยาบาลก็จะมาแล้ว พวกเธอจะต้องไม่เป็นไร” เอโลอิสเอ่ยเสียงดังพยายามดึงสติทั้งคู่


“ขอบคุณพวกคุณมาก แต่ผมคิดว่าผมคงรอไม่ไหว” วินสตันเอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อย เสียงของเขาแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินหากไม่ตั้งใจฟังดี ๆ


“ไม่ได้พวกเธอห้ามหลับนะเข้าใจไหม” เอโลอิสพยายามตบแก้มวินสตันเบา ๆ เพื่อเรียกสติ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความร้อนรนที่รถพยาบาลมาไม่ถึงสักที


“ในที่สุดพวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป” แมคเคย์ล่าที่นอนอยู่ข้างวินสตันยกมือขึ้นมากุมมือชายคนรักแน่น ลมหายใจเธอโรยรินแต่ใบหน้ายังเปี่ยมด้วยความรัก


“แน่นอน พวกเธอจะได้อยู่ด้วยกันหลังจากที่หมอรักษาพวกเธอจนหาย” อีธานพูดออกมาบ้าง ในใจของเขาก็เริ่มกลัวไม่แพ้คนอื่น


“ไม่ต้องพูดปลอบใจหรอกพวกฉันรู้ดีกว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก ขอบคุณพวกเธอมาก พวกเธอช่วยเหลือฉันกับวินสตันไว้มาก และขอโทษที่ชาตินี้ไม่ทันได้ตอบแทน”


“ไม่นะพวกเธออย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ ฉันขอโทษที่ช่วยพวกเธอไม่ได้ไม่มากพอจนทำให้พวกเธอบาดเจ็บ” เอโลอิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


“ห้ามโทษตัวเองเด็ดขาดเข้าใจไหม พวกคุณช่วยมามากแล้ว และไม่ต้องเสียใจไป” วินสตันพูดขัดขึ้น “จำเอาไว้ว่า…แค่ก ๆ ๆ ๆ…ว่า…” เหมือนวินสตันอยากจะพูดอะไรบ้างอย่างเอโลอิสจึงโน้มตัวเข้ามาใกล้เพื่อฟัง


“ว่าอะไรวินสตันนายอยากจะพูดอะไร…ฉันรอฟังและฉันจะทำตามคำขอทุกอย่าง”


“ว่า…คุณนิค ฟิวรี…ชอบดื่มน้ำแร่ยี่ห้อ…เปอริเอ้” วินสตันพูดด้วยเสียงแผ่วเบา 


“เวลาแบบนี้เธอยังจะคิดถึงเขาอีกเหรอ? เขาหายไปก่อนเพื่อนเลยนะ!...แต่ได้!…ฉันจะจำไว้” เอโลอิสรับปากเขา แม้จะไม่ได้อยากจำเรื่องนี้ก็เถอะ เทพบ้าอะไรเวลาสำคัญหายตัวไปทุกที!


“และขอให้ฝังฉันไว้ข้างวินสตัน” แมคเคย์ล่าพูดเสริมเสียงแผ่ว


“ได้…ฉันรับปาก…”


“เพียงเท่านี้พวกเราก็หมดห่วงแล้ว…”


เสียงของแมคเคย์ล่าดังแผ่วเบา เธอส่งยิ้มที่แสนอ่อนโยนที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ขณะที่มือของเธอยังกุมมือวินสตันแน่น วินสตันหันมาสบตากับเธอในสายตาคู่นั้นยังคงเปี่ยมไปด้วยคำสัญญาโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา ทั้งสองค่อย ๆ หลับตาลงพร้อมกันเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสงบตลอดกาล มือของพวกเขากุมกันไว้แน่นจวบจนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีสิ่งใดสามารถพรากพวกเขาออกจากกันได้อีกต่อไป


บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เอโลอิสเงยหน้าขึ้นสายตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความเสียใจและความรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกป้องพวกเขาไว้ได้ เธอหันมองไปรอบ ๆ รู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่ามีใครกำลังแอบจ้องมองอยู่ เมื่อเธอหันไปมองยังจุดที่ความรู้สึกนั้นนำพา สายตาของเธอพลันสบเข้ากับร่างของชายคนหนึ่งยืนอยู่ไกล ๆ…


เทพโดลอส…


เขายืนมองมาที่เธอ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ยากจะตีความ ก่อนที่รถตำรวจซึ่งแล่นเข้ามาพร้อมเสียงไซเรนจะขับผ่าน เอโลอิสกระพริบตาอีกครั้ง ร่างของเขาก็เลือนหายไปเหมือนกับภาพลวงตา


ไม่ช้ารถตำรวจหลายคันก็มาถึงที่เกิดเหตุตามสูตรละครไทยที่ตำรวจจะต้องมาตอนจบและช้าสุดเสมอ และคนเรียก 911 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากผู้ดำเนินพิธีแต่งงานในตอนต้นนั่นแหละ นายพลที่ยังคงนั่งทรุดอยู่กลางลานพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิดถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมตัวโดยไม่ขัดขืน เขาเอาแต่พร่ำพูดคำว่าขอโทษไม่รู้กี่หนราวกับคนที่กำลังสติแตก เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นที่สถานที่ราชการท่ามกลางสายตาประชาชนมากมายทำให้มีพยานในที่เกิดเหตุเยอะเสียจนเขาคงไม่สามารถหลุดจากคดีนี้ได้แน่นอน และคงจะกลายเป็นข่าวดังของเมืองไปอีกหลายวัน…



ท้องฟ้าในยามบ่ายคล้อยดูอึมครึม เมฆหนาปกคลุมเหนือสุสานกว้างอันเงียบสงัด หลังจากการเสียชีวิตของแมคเคย์ล่าและวินสตันเพียงไม่กี่วัน ตอนนี้เดมิก็อดทั้งสามก็ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมศพของสองคู่รัก หลุมศพทั้งสองถูกจัดวางเคียงคู่กันอย่างสงบ ภายใต้การจัดการของคุณหญิงแอนเดอร์สัน ผู้ที่ใส่ใจในรายละเอียดเพื่อให้ทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกันแม้ในวาระสุดท้าย ช่อดอกไม้สดหลากสีถูกวางประดับประดารอบหลุมศพ


เอโลอิสจัดการวางช่อดอกลิลลี่สีขาวสองช่อลงกลางหลุมศพทีละหลุม ตามด้วยอีธานและการ์เซียที่ทยอยวางช่อดอกไม้ของตนเช่นกัน ขณะที่พวกเขากำลังยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัย จู่ ๆ ก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง


“พวกเธอรู้สึกเหมือนฉันไหม?” การ์เซียถามเสียงเบามือของเธอจับด้ามดาบไว้เตรียมพร้อมจะชักออกมาทุกเมื่อ


“เหมือนมีใครกำลังจ้องมองเราอยู่” เอโลอิสก็รู้สึกไม่ต่างจากการ์เซีย


ไม่ไกลจากพวกเขาคือสัปเหร่อที่ยืนดูแลหลุมศพ เขาจ้องมองมาที่เดมิก็อดทั้งสามก่อนจะแสยะยิ้มเล็กน้อย  ทันใดนั้นร่างของเขาก็เริ่มบิดเบี้ยว เสื้อผ้าขาดวิ่น จนเผยโฉมแท้จริงว่านี่คือแม่มดดำที่แปลงกายมา


"กลิ่นเดมิก็อดช่างหอมหวนชวนรับประทานเสียเหลือเกิน..." 


แม่มดดำกล่าวพร้อมหัวเราะเสียงแหลม มันพุ่งเข้าหาเดมิก็อดทั้งสามด้วยความรวดเร็ว เอโลอิสถอยหลังอย่างรวดเร็วเพื่อตั้งหลักก่อนคว้าคันธนูของตนเองขึ้นมา ง้างมันออกไปหมายจะให้พุ่งใส่แม่มดดำ ทว่าพลาดเป้า อีธานเริ่มบุกโจมตีด้วยมีดของเขาบ้างแต่แม่มดดำกลับหลบได้ทุกดอก 


"ระวังข้างหลัง!" 


การ์เซียร้องเตือน แต่ไม่ทันเสียแล้วมือของแม่มดดำที่โผล่ขึ้นจากพื้นคว้าข้อเท้าของอีธานไว้ ก่อนที่เธอจะพยายามลากอีธานลงไปใต้ดิน เอโลอิสตัดสินใจใช้ทักษะที่เธอมีง้างลูกศรขึ้นและพุ่งไปปักเข้าที่มือของแม่มดดำได้สำเร็จ มันกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยวและปล่อยอีธานในทันที การ์เซียไม่รอช้าฟาดดาบลงไปเต็มแรงไปที่บางส่วนของร่างกายแม่มดจนทำให้มันบาดเจ็บหนัก


"ดีมากการ์เซีย! ฉันจะจบเรื่องนี้เอง!" 


เอโลอิสตะโกนพร้อมหยิบลูกศรสุดท้ายขึ้นมา ดึงคันธนูจนสุดก่อนจะปล่อยออกไป มันพุ่งเข้ากลางอกแม่มดดำพร้อมพลังที่ทำให้ร่างของมันแหลกสลายเป็นละอองสีทอง


“ยอดเยี่ยม ทุกคนเก่งมาก!”


เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมการปรากฏกายของเทพโดลอส ท่าทางของเขาดูสบาย ๆ ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวล


“ทำไมไม่โผล่มาตอนกลับค่ายฮาล์ฟบลัดเลยล่ะคะ? หายไปตั้งแต่เกิดการระดมยิงวันนั้นแล้วก็ไม่โผล่มาเลย” เอโลอิสเอ่ยพร้อมสีหน้าหงุดหงิด


“ถ้าข้าไม่หายไปจะได้เห็นละครฉากใหญ่เช่นนี้หรือ? อีกอย่างใครว่าข้าไม่โผล่หัว ข้าก็อยู่ที่นั่นตลอด…รับรู้ทุกเหตุการณ์…” เทพโดลอสเน้นคำพูดตอนท้ายราวกับตั้งใจให้ทุกคนจับสังเกต


“หมายความว่ายังไงคะ?” การ์เซียถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


“หมายความว่าแบบนั้นแหละ” โดลอสตอบพลางยักไหล่


“อย่าบอกนะว่าเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนั้นเป็นฝีมือของท่าน?” เอโลอิสหรี่ตาอย่างจับผิด


“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะสาวน้อย ข้าก็แค่ยื่นมือเข้าไปเล็กน้อยเห็นว่าเจ้าสาวกำลังจะแต่งงานก็เลยส่งการ์ดเชิญไปให้พ่อเจ้าสาวเสียหน่อย ทำไม่ถูกตรงไหน?” สีหน้าของเทพโดลอสดูยียวนกวนประสาทมาก เขาไม่ได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำเลยแม้แต่น้อย


“แต่นี่มันทำคนตายทั้งคนเลยนะคะ” เอโลอิสกัดฟันพูด


“ฆ่า? ใครว่าข้าเป็นคนฆ่า? พะยูนไม่ได้ฆ่า…” โดลอสตอบพลางยักไหล่อีกครั้ง “พวกมนุษย์น่ะฆ่าแกงกันเอง พอโดนปั่นหัวนิดหน่อยก็ใส่กันยับ ข้าเองก็มีหน้าที่แค่ถือป๊อบคอร์นกับโค้กแก้วใหญ่แล้วนั่งดูละครฉากใหญ่นี้เท่านั้น”


“ท่านทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน?” เอโลอิสถามอย่างต้องการคำตอบ


“ไม่รู้สิ…” โดลอสลากเสียงยาวอย่างจงใจ “แก้เผ็ดมั้ง?”


“เรื่องที่หนูถีบน่ะเหรอ? ขอโทษก็แล้ว เอาอกเอาใจก็แล้ว ทำไมยังไม่หายโกรธอีกคะ? แล้วก็พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยทำไมถึงไปลงกับพวกเขา” เอโลอิสยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องไปลงกับผู้ที่ไม่รู้เรื่องด้วย ทั้งที่คนที่ถีบเขาก็มีแต่เธอคนเดียวแท้ ๆ


“เกี่ยวสิ” โดลอสตอบพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะไม่เกี่ยวได้ไงในเมื่อพวกเขาคือสาเหตุที่พวกเจ้าบุกไปคฤหาสน์ในวันนั้น พอพวกเจ้าบุกไปก็เจอกับข้า พอเจอข้าเจ้าก็ถีบข้า…เห็นมั้ย? มันเกี่ยวกับพวกเขาเห็น ๆ อีกอย่างเจ้านายพลบ้านั่นคิดจะจับข้าไปนั่งยาง ตอนนี้ก็เตรียมไปกินข้าวแดงในคุกแล้ว…ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัว ปิ้ว ๆ ๆ” เทพโดลอสพูดจบก็ทำท่ายิงปืนประกอบอย่างอารมณ์ดี


“ถ้าเช่นนั้นหากเจ้าจะโทษต้นเหตุที่แท้จริงก็คงโทษข้าด้วยใช่หรือไม่?” 


เสียงที่นุ่มนวลอันทรงสเน่ห์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบชั่วขณะ ก่อนที่ร่างของเทพีอะโฟร์ไดท์จะปรากฏขึ้น ร่างของนางงดงามจนทุกสายตาไม่อาจละไปได้


“อุ๊ปส์! ดูเหมือนจะมีแขกมาเพิ่มนะ” โดลอสพูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน


“ข้าเป็นผู้มอบภารกิจให้เหล่าเดมิก็อดกลุ่มนี้เอง เหตุใดแค่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จึงทำให้เจ้ายุยงให้มนุษย์ฆ่าแกงกันเอง” เทพีอะโฟร์ไดท์ปรายตามองเทพโดลอสด้วยสายตาเชิงตำหนิ


“ทำมาเป็นพูด…ทีเจ้าล่ะ แค่แย่งแอปเปิ้ลลูกเดียวเจ้ายังทำให้เกิดสงครามกรุงทรอย หนักกว่าข้าตั้งเยอะ” พอได้ทีเทพโดลอสก็ขุดเรื่องราวในอดีตขึ้นมาแซะ คำพูดนั้นทำให้เทพีอะโฟร์ไดท์นิ่งไปชั่วขณะ


“เจ้านี่นะ!” 


“หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ” เทพโดลอสหัวเราะร่าพร้อมทำท่าราวกับกำลังจะโค้งคำนับ ก่อนที่ร่างของเขาจะเลือนหายไปในพริบตา ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะสะท้อนเบา ๆ ในอากาศ


“เทพติงต๊อง…” เทพีอะโฟร์ไดท์พึมพำเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจพร้อมกับมองไปที่จุดที่เทพโดลอสหายตัวไป


“อันที่จริงมันก็เป็นความผิดของหนูเองค่ะที่ทำให้เทพโดลอสไม่พอใจจนทำให้เกิดความสูญเสียเช่นนี้” เอโลอิสเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน


“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก เมื่อไม่รู้ย่อมไม่ผิด อีกอย่างต่อให้เจ้าไม่ถีบเขา เขาก็หาข้ออ้างมาปั่นหัวพวกมนุษย์อยู่ดี โลกใบนี้ก็เหมือนกับสนามเด็กเล่นของเขา”


“ทั้งที่ท่านมอบภารกิจนี้มาให้หนูแท้ ๆ” เอโลอิสพูดพร้อมก้มหน้ามองพื้น


“เจ้าอย่าได้ห่วง ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อมารับดวงวิญญาณของพวกเขาไปสู่ดินแดนแห่งความรัก พวกเจ้าทำให้คู่รักได้มีช่วงเวลาดี ๆ ที่มีความสุขก่อนจะถึงวาระสุดท้าย นั่นคือสิ่งที่สำคัญกว่า ข้าขอขอบคุณพวกเจ้า”


ดวงวิญญาณสองดวงลอยขึ้นจากบริเวณหลุมศพของแมคเคย์ล่าและวินสตัน ท่ามกลางความเงียบสงัดในสุสาน แสงสองดวงค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นร่างของทั้งสองคนที่ยืนเคียงข้างกัน แม้จะเป็นแค่ภาพร่างของวิญญาณ แต่ท่าทีของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความรักและสันติสุข


“ฉันขอบคุณทุกคนจากใจจริง พวกเราจะไปที่นั่นไม่ได้เลยถ้าไม่มีพวกเธอช่วยไว้” แมคเคย์ล่ายิ้มบาง ๆ พร้อมกล่าวขอบคุณ


“ขอบคุณพวกคุณจริง พวกคุณช่วยเราไว้มากเลย” วินสตันกล่าวเสริม เสียงของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและยินดียิ่ง


ทั้งคู่กุมมือกันแล้วหันไปมองเทพีอะโฟร์ไดท์ที่ยืนรออยู่ไม่ไกล ใบหน้าของทั้งคู่ดูมีความสุข พวกเขาค่อย ๆ เดินไปยังจุดที่เทพีอะโฟร์ไดท์รออยู่


“ถึงเวลาแล้วล่ะ” 


เทพีอะโฟร์ไดท์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน ดวงวิญญาณของแมคเคย์ล่าและวินสตันจับมือกันแน่น และเดินตามเทพีอะโฟรไดท์ไปอย่างสงบ ก่อนที่ทั้งสามจะหายไปในแสงสว่างที่เจิดจ้า ดวงวิญญาณของพวกเขาลอยขึ้นไปในท้องฟ้าสู่ดินแดนแห่งความรักที่แสนอบอุ่นและสงบสุข


“แมคเคย์ล่า วินสตัน โชคดีน้าาาาา!!!” เอโลอิสป้องปากตะโกนออกไป เธอโบกมือให้คดวงวิญญาณของคู่รักทั้งสอง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความทรงจำที่ยังคงอยู่ในใจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว ทั้งสามคนยืนโบกมือส่งดวงวิญญาณของทั้งสองจนหายลับไป


“คงถึงเวลาที่พวกเราต้องกลับแล้วล่ะ” การ์เซียเอ่ยขึ้น


“ขอบคุณพวกเธอมากที่มาช่วยฉันทำภารกิจนี้” เอโลอิสหันไปขอบคุณเพื่อนร่วมภารกิจของเธอ


“ขอบคุณเช่นกันเป็นประสบการณ์ที่ดีนะแม้ตอนสุดท้ายจะเศร้าไปหน่อยแต่พอรู้ว่าพวกเขาได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในท้ายที่สุด ก็สบายใจขึ้นเยอะ” อีธานกล่าว


ทั้งสามคนเดินเคียงข้างกันออกจากสุสานเพื่อเตรียมตัวกลับไปยังค่ายฮาล์ฟบลัด ประสบการณ์การเดินทางในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่บทเรียนของชีวิต แต่ยังเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเข้าใจความหมายของความรักและความเสียสละมากขึ้นกว่าเดิม เรื่องราวความรักของแมคเคย์ล่าและวินสตันคงจะอยู่ในความทรงจำของเหล่าเดมิก็อดไปอีกนานแสนนาน แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดก็ตาม….  




(ครั้งแรก) +2 ตื่นรู้

สินสงคราม: น้ำยาเวทมนต์


รางวัล: 

+2 level up ,+40 ดรักม่า และ กุหลาบทอง 3 ดอก

และ 150 เกียรติยศ และ ศรัทธา , 50 ความกล้า


ได้รับความโปรดปรานจากเทพีอะโฟร์ไดต์ +35 แต้ม


HEROES [วีรบุรุษผู้โปรดปราน] โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+25

ทำภารกิจเดินทางทวยเทพสำเร็จ ได้โบนัสความโปรดปรานหัวใจ 1 ดวง - +5 Point









แสดงความคิดเห็น

God
คุณได้รับ 200 EXP โพสต์ 2024-11-26 00:00
God
คุณได้รับ +150 เกียรติยศ +50 ความศรัทธา โพสต์ 2024-11-26 00:00
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-12] อะโฟร์ไดท์ เพิ่มขึ้น 160 โพสต์ 2024-11-26 00:00
God
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [God-23] โดลอส ลดลง -699 โพสต์ 2024-11-26 00:00
โพสต์ 82964 ไบต์และได้รับ 48 EXP!  โพสต์ 2024-11-25 23:31

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญดรักม่า +40 ตื่นรู้ +2 ย่อ เหตุผล
God + 40 + 2

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปืนอัจฉริยะ L&E
เกราะไทเทเนียม
สร้อยไข่มุกตาฮิตี
ผลิตภัณฑ์กันแดด
ควบคุมโลหะ
เข็มขัดเครื่องมือวิเศษ
ยอดนักสร้าง
หมวกนีเมียน
สัมผัสกับดัก
โล่อัสพิส
กำไลหินนำโชค
ทนทานไฟ
ต่างหูเงิน
รองเท้าเซฟตี้
เสื้อค่ายฮาล์ฟบลัด
โรคสมาธิสั้น
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x3
x1
x1
x3
x3
x9
x3
x1
x10
x10
x1
x2
x25
x2
x1
x20
x2
x4
x4
x3
x1
x1
x3
x4
x4
x2
x1
x1
x2
x45
x1
x58
x1
x1
x4
x1
x11
x1
x1
x1
x344
x1
x1
x1
x1
x3
x1
x28
x2
x16
x2
x5
x28
x10
x28
x67
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้