Dean
โพสต์ 2024-9-12 02:24:05
Mackenzie ตอบกลับเมื่อ 2024-9-11 12:49
38. Formula MongM
ถึงเมื่อคืนจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปแต ...
https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXfrT_jyzawpoz8a9Rjfg25Nk3oIEg0_USV5wOs2tnAe7sjkEOwk22Iz-qOGIbMp23LjKBAA7WEoFFKn64qAy6H8GOdA4mLS1fHWZbJ5TRVAmPT-SlWCbE9UmIo1VLjdwGCA5a9nkq_sVk5IPE7xptojIPs?key=AyAW0SZ1Dkm0lJWE7GNVtw209https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXfwaVV_QSiNNVWixPu1WM4opT2mxL4NGMOXpOcjg_Fktf9EboW8ST_WhKoM_wMje9M6Ppf_VAhKelile2nRanhyGAlL_PpXgnvaA4hspk_PuEwL97il6jnDiGlf4IVT4NQP_y5QKGxTI0v_YcqIfBmRqI6x?key=AyAW0SZ1Dkm0lJWE7GNVtwThailand P.9 - เพชรบูรณ์
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ กับการตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่เพื่อชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น แถมเมื่อคืนพวกเขายังหลับสบายก็อบลินมากวนใจ พอได้สูดอากาศดี ๆ แบบนี้ต่อให้ยังง่วงอยู่ก็ตื่นขึ้นมาได้อย่างเต็มตา
“อื้อ แถมยังสวยอีกด้วย อย่างกับก้อนเมฆอยู่ใต้เท้าพวกเรายังไงยังงั้นแน่ะ” ดีนหัวเราะน้อย ๆ “เย็นได้ถึงแค่ช่วงสายสินะแล้วกลับมาร้อนต่อ ครีมกันแดดฉันใกล้จะหมดหลอดแล้วเนี่ย”
พูดตรง ๆ เลยว่าเมืองไทยนี่แดดแรงดีจริง ๆ จนต้องพอกครีมกันแดดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อกันไม่ให้ผิวหนังถูกเผาทำลายจนเกิดเป็นมะเร็งตัวร้ายขึ้นมา จะว่าไปคนที่อยู่ข้างกายออกจะคล้ำ ๆ ขึ้นนิดหน่อยหรือเปล่านะ ส่วนตัวเองที่เป็นคนผิวเข้มอยู่แล้วเขาแยกไม่ค่อยออก
“โปรแกรมเช้านี้ยังว่างอยู่นะ พวกเราเอาไงกันดี? นอนเล่นต่ออีกหน่อยแล้วค่อยไปที่มรดกโลก หรือว่านายอยากจะเช็กเอาต์ออกไวหน่อยแล้วไปตามจุดชมวิวให้ครบก็เลือกได้เลยที่รัก”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ได้เลยที่รัก งั้นเรามาเที่ยวให้จุใจกัน”
ยิ้มกรุ้มกริ่มหลังถูกหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง ส่วนเขาค่อยจับอีกฝ่ายมาหอมมาฟัดหลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ ก็ได้ ตอนนี้ก็เลยเข้าไปเก็บของใช้พร้อมกับโทรศัพท์แจ้งพนักงานโรงแรมให้มาเก็บเตาหมูกระทะเมื่อคืนแล้วเสิร์ฟอาหารเช้าตามแพ็กเกจ พนันได้เลยว่าคงไม่พ้นข้าวต้มที่เป็นอาหารเช้าหลักของชาวไทยแน่ ๆ
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หลังจากที่ทั้งสองทำธุระยามเช้าและเก็บข้าวของกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ซึ่งไม่มีอะไรให้เก็บเท่าไร เสื้อผ้าส่วนใหญ่ก็อยู่ในรถ) อาหารเข้าก็มาเสิร์ฟ ซึ่งก็คือข้าวต้มจริง ๆ ด้วย ดีนกินข้าวต้มเกือบทุกวันจนตอนนี้เขาคิดถึงสลัดหรือไม่ก็อาหารเช้าสไตล์อเมริกัน สงสัยความอยากไก่ทอดเมื่อวานที่ตุนมาจะเริ่มหมดเสียล่ะมั้งเขาถึงได้คิดถึงอาหารบ้านเกิดรัว ๆ
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็มายังสถานที่เที่ยวแรก ‘จุดชมวิวทุ่งกังหันลมเขาค้อ’ ที่นี่ให้ฟีลบรรยากาศคล้าย ๆ กับกังหันลมที่โอคลาโฮม่าที่เขาเคยเดินทางผ่าน เพียงแต่ที่เขาค้อมีส่วนที่เป็นสีเขียวเยอะกว่าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าแพร์รี่ที่ดูแห้งแล้งสุดลูกหูลูกตา รถบริการพาพวกเขานั่งชมสิ่งที่น่าสนใจรายทางมากมาย ซึ่งสิ่งที่ดีนสนใจที่สุดคงไม่พ้นเครื่องเล่นที่แมคเคนซีชิงทักขึ้นมาก่อน
“น่าสนุกดีแฮะ เอาสิฉันอยากเล่น”
ชายหนุ่มตาเป็นประกายเหมือนเด็ก ๆ พนันได้เลยว่าเครื่องเล่นไม้ที่ตั้งอยู่กลางลานไม่ได้มีเฉพาะให้เด็กเล่นแต่ผู้ใหญ่ก็เล่นได้
“ฟอร์มูล่าม้งงั้นเหรอ? ดูน่าสนุกดีนะ เหมือนรถเด็กเล่นเลย”
ความสนใจในเครื่องยนต์กลไกทำให้ดีนหยุดมองอยู่นาน เท่าที่เห็นคนอื่นเล่นไปก่อนหน้าผู้ขับจะต้องใช้แรงแขนและแรงโน้มถ่วงในการผลักรถไปข้างหน้า ดูเหมือนไม่มีอะไรทว่ากระตุ้นต่อมความซนได้เป็นอย่างดี
‘ว่าแต่มันบังคับซ้ายขวายังไงนะ? ช่างเถอะ ไม่ลองก็ไม่รู้’
แล้วก็หันมาทำตาใสให้คนรัก
“แมคซี่ฉันอยากลองอ่ะ เรามาเล่นกันนะ”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
ถึงจะอยากเล่นเป็นคนขับแต่ก็ไม่ขัดศรัทธาแมคเคนซีผู้เป็นคนออกเงิน ดีนขึ้นไปนั่งซ้อนหลังซึ่งมันออกจะอึดอัดนิดหน่อยที่ผู้ชายตัวหมีสองคนต้องมาซ้อนกัน
“ไปเลย!!”
มือข้างหนึ่งเกาะไหล่แมคเคนซีเอาไว้ส่วนอีกมือชูขึ้นเหนือหัวอย่างฮึกเหิม ฟอร์มูลาม้งไหลลงเนินไปอย่างรวดเร็วหลังถูกปล่อยตัว ทำเอาเขาต้องเกาะหลังคนขับติดหนึบไม่ต่างอะไรจากโคอาล่า แม้ไม่ได้ขับเองแต่การนั่งรถไม้สไลด์ลงเขานี่ช่างสุดมัน เขากู่ร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัวจนไม่รู้ว่าทำคนข้างหน้าหูดับไปแล้วหรือเปล่า
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“เอาสิ ๆ ฉันอยากเป็นคนขับ!”
เย้ว ๆ อย่างกระตือรือร้นหลังจากลงมาจากรถไม้เมื่อหมดรอบ หัวใจยังคงเต้นตุ้บอะดรีนารีหลั่งไหล เพราะงั้นแค่รอบเดียวมันจะไปพออะไร พวกเขาเดินขึ้นเนินกลับไปยังจุดปล่อยตัวอีกครั้งโดยที่ครั้งนี้มีดีนเป็นคนขับส่วนแมคเคนซีซ้อนหลัง เรียนรู้วิธีการบังคับล้อปรับทิศทางและเบรก ช่างเป็นการขับรถในแบบที่ไม่เคยขับมาก่อนหวังว่ามันจะไม่ยากเกินไป
“เอาล่ะพร้อม! ถ้าฉันขับคว่ำอย่าโกรธกันนะแมคซี่”
แกล้งพูดที่เล่นทีจริงไว้ก่อนให้ได้ลุ้น หลังจากที่รถถูกปล่อยตัวออกมามันก็ไหลลงเนินด้วยความรวดเร็ว ล้อไม้ที่บดผ่านถนนลูกรังทำเอาหัวสั่งหัวคลอน ดีนบังคับรถเกือบลงข้างทางไปสามสี่รอบให้ได้หวาดเสียว (สาบานว่าไม่ได้ตั้งใจ) แต่สุดท้ายก็มาถึงเส้นชัยได้โดยสวัสดิภาพ
“โอ๊ย กว่าจะถึง ตื่นเต้นชะมัด!” ยกมือขึ้นทาบอก
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“จริงเปล่า ความจริงฉันขับรถได้ดีกว่านี้นะ อย่างน้อยก็ไม่เคยทำรถคว่ำ”
กับคำว่าทำรถคว่ำคงใช้คำว่าอย่างน้อยไม่ได้ แต่เอาเถอะ.. เล่นสนุกไปแล้วก็เที่ยวชมจุดต่าง ๆ ภายในเขาค้อต่อ จนเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงแล้วท้องก็เริ่มหิวร่างกายหมดแรงข้าวต้ม
“เอาสิ ร้านนั้นดูดีเลย”
ระแวกนี้เต็มไปด้วยคาเฟ่สวย ๆ แข่งกันเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวที่นอกจากจะอยากจิบอาหารชิมกาแฟแล้วก็ช่างสรรหาแต่งร้านให้มีมุมสวยเอาไว้ถ่ายคู่กับวิวธรรมชาติของป่าเขา นอกจากสยามจะเป็นเมืองยิ้มแล้วยังเป็นดินแดนแห่งคาเฟ่นับล้านอีกด้วย
ดีนเปิดหน้าเมนูไปมา มีทั้งอาหารไทยและอาหารตะวันตก เยี่ยมยอด! มื้อนี้จะได้รับประทานอะไรที่คุ้นปากเสียที
“พิซซ่าน่ากินจังแมคซี่ เอาเป็นพิซซ่าแฮมเห็ด กับเฟรนฟรายได้ไหม? แล้วก็… ซีซาร์สลัดด้วย” ได้ทีก็สั่งใหญ่
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“เอ๋ ให้ฉันสั่งทั้งหมดเนี่ยนะ? แล้วนายไม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษเหรอ?”
พิซซ่าแค่ถาดเดียวน่าจะไม่พออิ่มสำหรับชายฉกรรจ์สุขภาพดีสองคน งั้นสั่งเพิ่มดีกว่า
“งั้น.. เอาไก่นิวออลีนเพิ่ม แล้วก็พิซซ่าหน้าทริปเปิ้ลชีสเพิ่มอีกถาด เครื่องดื่มขอเป็นโกโก้ปั่นกับน้ำส้ม ขอบคุณ”
หันไปสั่งอาหารเพิ่มจากนั้นก็หันกลับมายิ้มกว้างให้แมคเคนซี
“ฉันสั่งโกโก้ของโปรดให้นายด้วย เป็นไงรู้ใจมะ” ถึงจะไม่ใช่โกโก้ร้อนหวานน้อยก็เถอะ..
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ฉันรู้ ของนายกินอะไรก็ได้ที่ไม่เผ็ด ไม่มีกลิ่นฉุนใช่ไหมล่ะที่รัก”
ขนาดว่าตัวเองเป็นคนกินง่ายแต่พอเทียบกันแล้วเผลอ ๆ อีกฝ่ายจะกินง่ายกว่า ..หรือเปล่า?
อาหารที่พวกเขาสั่งต้องใช้เตาอบซึ่งใช้เวลานานกว่าปกตินิดหน่อย แล้วยิ่งในวันที่การท่องเที่ยวคึกคักแบบนี้ทำให้ต้องรอพิซซ่านานเป็นสองเท่า แต่ยังดีที่เครื่องดื่ม ไก่นิวออรีน และเฟรนฟรายมาก่อนให้ได้รองท้องกันหิว แล้วเมื่อพิซซ่าทั้งสองถาดมาเสิร์ฟก็ไม่รีรอที่จะรับประทาน (แต่หลังจากถ่ายรูปเสร็จ)
“อื้ม อร่อย รสชาติที่คิดถึงมาก”
กินอาหารจำพวกชีสด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข นอกจากของทอดแล้วชีสนี่แหล่ะที่เติมเต็มทุกอย่างได้ดี ถ้ามีน้ำหมักผลไม้ด้วยจะยิ่งแจ๋ว แต่ถ้าเขาสั่งของมึนเมาตั้งแต่หัววันต้องถูกมองค้อนเอาแน่ ๆ
พิซซ่าที่ทานกันไปคนละถาด (แต่คละรส ที่เขากินรสทริปเปิ้ลชีสมากกว่าอีกฝ่ายนิดหน่อย) เติมช่องว่างในกระเพาะอย่างแน่นเอียด เมื่ออิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังที่ถัดไป ซึ่งดีนค่อนข้างตื่นเต้นให้ความสนใจเนื่องจากเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกแบบมาแรงแซงทางโค้งโบราณสถานแห่งอื่น ๆ ไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
โบราณสถานที่มาเยือนให้ความแตกต่างจากที่สุโขทัยอยู่พอควร เนื่องด้วยอยู่คนละยุคคนละสมัยห่างไกลกันเกือบพันปี อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพมีรูปร่างคล้ายกับพิรามิดแห่งเม็กซิโกมากกว่า น่าประหลาดที่สถานที่ทั้งสองอยู่กันคนละมุมโลกแต่กลับมีรากฐานบางอย่างที่ดูคล้ายคลึงกันราวกับมีมนุษย์ต่างดาวบินมาช่วยสร้าง แม้ความจริงผู้ที่ชี้แนะจะเป็นเทพเจ้าก็ตาม
“ใช่ซะที่ไหน ฉันก็ไม่ได้ชอบที่ตัวเองเรียนอะไรขนาดนั้น แต่นี่เป็นมรดกโลกเชียวนา”
แต่ถ้าพูดถึงท่องเที่ยวตามความชอบเขาก็จัดตารางไปสวนสัตว์มาตั้งสองที่
‘ว่าแต่ไทยแลนด์นี่สวนสัตว์น้อยชะมัด…’
ถ้าเป็นที่สหรัฐอเมริกาล่ะก็มีสวนสัตว์ให้เที่ยวฉ่ำ ๆ เมืองละแห่งแน่นอน
แดดยามบ่ายแผดเผาผิวกายจนแสบเนื้อตัว ดีนนึกสงสัยว่าทำไมที่นี่ต้นไม้น้อยใจ ในสมัยหนึ่งพันเจ็ดร้อยปีก่อนก็ต้นไม้น้อยแบบนี้หรือเปล่านะ หรือที่ต้นไม้น้อยเพราะมันบดบังการสำรวจ? แถมโบราณสถานแต่ละแห่งในอุทยานก็อยู่ห่างไกลกันจนไม่สามารถเดินเท้าได้ในสภาพอากาศแบบนี้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องเข้า ๆ ออก ๆ รถยนต์ เดี๋ยวก็เย็นเดี๋ยวก็ร้อนจนหน้าจะมืด
เมื่อเที่ยวกันจนพอใจก็ได้เวลาหาที่พักในคืนนี้ที่ไม่ได้จองมา จะว่าด้วยความประมาทก็ได้ที่คิดว่าที่พักใกล้ ๆ นี้น่าจะเยอะเพราะอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก แต่เท่าที่ขับรถผ่านก็ดูเหมือนจะมีอยู่แค่ไม่กี่แห่งซึ่งค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองเอามาก ๆ
“เหมือนว่าก่อนทางเข้าอุทยานจะมีรีสอร์ทอยู่นะ ลองไปดูตรงนั้นไหม? ไม่งั้นเราอาจต้องขับไปไกลถึงลพบุรีเลย”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ฉันไม่อยากเรียน”
ดีนหัวเราะออกมาเบา ๆ ตามความจริงที่เป็นแบบนั้น ส่วนเรื่องที่ทำไมถึงเรียนคณะวิทยาศาสตร์… ไม่รู้สิ คงต้องไปถามตัวเองเมื่อสี่ปีก่อนว่าทำไมถึงเลือกเรียนคณะนี้
เมื่อมาถึงรีสอร์ตตามที่ว่าดีนก็ลงไปสอบถามรีเซปชั่นว่ามีห้องว่างหรือเปล่า แล้วพอได้คำตอบเขาก็กลับขึ้นมาบนรถพร้อมกับพนักงานคนนึง ดูแล้วที่นี้คล้ายกับโมเตลมากกว่ารีสอร์ตเสียอีก เอารถมาจอดที่หน้าห้องพักได้เลยก็ดีเวลาเอาของจะได้สะดวก ๆ
“มีห้องล่ะ เราขับรถไปจอดหน้าห้องได้เลย เดี๋ยวตามเขาไป”
พอได้ห้องแล้วพนักงานคนไทยก็แจกแจงการเข้าพักรวมถึงราคาแสนถูก พวกเขาสั่งอาหารกันได้ถึงแค่หนึ่งทุ่ม ส่วนร้านค้าแถวนี้ใกล้ที่สุดต้องขับรถออกไปหนึ่งกิโลเมตรแล้วไม่รู้ว่าขายอะไร จะกินได้ไหม เรียกว่าค่อนข้างเสี่ยงดวง
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ก็ประมาณนั้น แต่จะเที่ยวหรือทำอะไรก็ได้ที่ฉันมีความสุข แค่นั้นเลย”
ดีนหัวเราะ ยังไงโลกนี้ก็ขับเคลื่อนไปด้วยระบบทุนนิยมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะขยับตัวนิดหน่อยก็ต้องใช้เงิน โดยเฉพาะถ้าอยากมีความสุขก็ต้องมีเงินเยอะ ๆ แต่ต้องมาติดแหงกอยู่ในค่ายฮาล์ฟบลัดแบบนี้จะไปทำมาหากกินอะไรได้ ทำภารกิจก็ได้ดอลลาร์หรือดรักม่ามาเพียงน้อยนิด แต่เขาไม่คิดที่จะอยู่ที่ค่ายไปตลอดชีวิตหรอก มีเวลาทำงานหาเงินช้ากว่าคนอื่นไปนิดหน่อยคงไม่เป็นไร แต่จากนี้ไปจะหางานอะไรทำล่ะเนี่ย งานผู้ช่วยนักวิจัยที่ปฏิเสธไปคงทำให้เขาถูกติดแบล็กลิสต์ไปแล้ว แต่งานที่เวนดี้ส์คงกลับไปทำได้เสมอถ้ามีตำแหน่งว่าง แต่จะให้ทำงานร้านฟาสต์ฟู้ดไปตลอดชีวิตคงน่าเบื่อแย่ แค่คิดก็เหี่ยวเฉาแล้ว…
“โอเคตามนั้น” ดีนอ่านชื่อเมนูตามแอปฯ แปลภาษา “ฉันเอานี่ก็แล้วกัน.. ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทย”
มีเวลาพักผ่อนหน่อยก็ดี ดีนก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือมาไถเล่นระหว่างรออาหาร แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้จองทัวร์ล่องเรือของวันพรุ่งนี้เลยนี่นา ถ้าโทรไปตอนนี้หวังว่าจะจองทัวร์ทันนะ…
https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXfpcKcyh0zV0MCVoDEmHrn6s99ss4H6EHkcjcF2TptY3aPpvDWgyVvTR7Iqg8H0I2L_5YckA22nc12u1blbhc5OJwrh7ijJCy6S6WfY-vP-v8KIbip7amRQwlneMpG9-VSFKwlcc0WN6xELG4jr3x8Jl1o_?key=AyAW0SZ1Dkm0lJWE7GNVtw@God
Dean
โพสต์ 2024-9-19 10:56:15
Dean ตอบกลับเมื่อ 2024-9-12 02:24
209Thailand P.9 - เพชรบูรณ์
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mac ...
https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXc2OpvJTxva5foioKH80XYFU-Nk9_DwhRaaqpDgtP831x5E0TsDAtYGyPvbkOqSPY9lZwB11Ajv3YMoSL6nTsPkan_IltivBL5Cj0jFW70E2-oqIHbF72iePcGJk1YWqoielosNofQVb4hZYAfinRH9hs0S?key=4pWIABGeItJrcHC8hxgkgA210https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXfHiEa_Cm6lK9Cx60hB-1xKDraEMCgd5l66aEyBpo9dYt4jqYYQMiW83_NZGjFrOY6yaVEMc3R-DsecPtHs8uw81DciIUsgSHwXOmFEQUnByoPsoi5pk3Xk6yWCpkAzJl2-NgD84fiv865-iczySaLndO2_?key=4pWIABGeItJrcHC8hxgkgAThailand P.10 - พระนครศรีอยุธยา
ออกเดินทางตั้งแต่เช้า ขับรถข้ามจังหวัดจนมาถึง ‘พระนครศรีอยุธยา’ ราชธานีเก่าของประเทศไทยในเวลาเกือบเที่ยง ได้เวลาท่องเที่ยวและรับประทานอาหารเที่ยงไปในตัว ทำไมถึงพูดแบบนั้นน่ะเหรอ? ไปดูกัน
ดีนตั้งจีพีเอสบอกเส้นทางให้แมคเคนซีขับรถไปที่ ‘วัดพนัญเชิง’ วัดสำคัญเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองอยุธยามาเป็นเวลานานหลายร้อยปี ซึ่งคำว่าหลายร้อยปีที่ว่านั้นยาวนานกว่ายุคสมัยของอยุธยาเสียอีก อาจยาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัยเลยด้วยซ้ำ แต่เรื่องการเที่ยววัดพนัญเชิงต้องเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่ เพราะตอนนี้ทั้งสองหนุ่มมีนัดกับไกด์นำเที่ยวล่องเรือแม่น้ำป่าสักเพื่อเที่ยวชมเกาะอยุธยา
ในแพ็กเกจมีให้รับประทานอาหารกลางวันบนเรือด้วย ซึ่งดีนรีเควสตอนจองไว้ว่า ‘จัดอาหารแนะนำมาเลย แต่ขอรสไม่จัดฝรั่งกินได้’ ซึ่งเมื่อพวกเขาขึ้นไปบนเรือไม้ตกแต่งสไตล์วินเทจแบบไทย ๆ ก็เห็นว่าอาหารถูกจัดสำรับไว้รอแล้ว เพียงแค่ครอบฝาชีที่ทำจากไม้สานเอาไว้อยู่ ลุ้นอยู่เหมือนกันนะว่าข้างในจะมีอะไรบ้าง แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
“แมคซี่ ๆ มาเซลฟี่กัน” ดีนกวักมือเรียกคนรักให้ขยับมาใกล้ ก่อนจะยัดกล้องถ่ายรูปใส่มืออีกฝ่าย “นายแขนยาวกว่าถ่ายให้หน่อย”
ยิ้มกว้างยกมือชูสองนิ้วรอให้คนรักกดชัตเตอร์
https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXcYhhIkgEJ18rS097t5NTZq-OuS08Mk4rxBt9aAVMGwhxKV89l5Q-GKZiE_CvNrPSgGJcUqrp2PJbJV1ZEmhj6yzYZ93h7uzD_5rvIPB9IdcLaPFOBqtRuy-nOSR7aen5KWU3Mcj764zwtWCADFLv--I50K?key=4pWIABGeItJrcHC8hxgkgACMS. by RC Rose Cheyn
@Mackenzie
“อื้อ ดี ดีมาก ๆ ฉันชอบนะ เดี๋ยวหาคอลเลคชั่นอื่นใส่กันอีก”
คลี่ยิ้มกว้างตอบคนรักไป
ทั้งคู่นั่งแสตนบายอยู่บนเรือไม่ถึงสิบนาทีก็ได้เวลาออกเดินทาง ไกด์นำเที่ยวเป็นสาวไทยผิวน้ำผึ้งที่ดูจะคล่องแคล่วงภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ซึ่งสมแล้วกับที่ทำอาชีพนี้ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอย่างขวักไขว่ เมื่อเริ่มออกเดินทางไกด์ก็แนะนำสถานที่ตามสองฝั่งริมแม่น้ำให้ได้รับทราบ
“จุดที่ออกเดินทางของพวกเราคือวัดพนัญเชิงค่ะ ที่ตั้งของวัดอยู่ที่จุดบรรจบกันของแม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยาพอดี ซึ่งถือว่าเป็นแม่น้ำสายหลักของประเทศไทย”
แล้วหล่อนก็อธิบายความเป็นมาของวัดพนัญเชิงเหมือนกับที่ดีนไปหาข้อมูลมาแต่เพิ่มเติมรายละเอียดมากขึ้น
“ตามหนังสือพงศาวดารเหนือกล่าวว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า ‘วัดเจ้าพระนางเชิง’ และในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐกล่าวไว้ว่า ได้มีการสถาปนาพระพุทธรูปพุทธชื่อ ‘พระเจ้าพแนงเชิง’ ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปจาก ‘พระนางเชิง’ ก็ถูกเปลี่ยนเสียงไปเป็น ‘พนัญเชิง’ ค่ะ”
บอกตามตรงดีนไม่รู้ถึงความแตกต่างของชื่อเลยด้วยซ้ำ คิดว่าทุกคำเป็นคำเดียวกันหมดเสียอีก
@Mackenzie
หลังจากที่เรือเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือวัดพนัญเชิงแล้วใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะถึงที่หมายถัดไป ระหว่างที่ชมวิวสองฝั่งแม่น้ำสำรับอาหารกลางวันก็ถูกเปิดออก นี่แหล่ะช่วงเวลาที่รอคอย!
https://i.imgur.com/nmBcZHZ.png
Credit: https://www.lifestyleasia.com/bk-th/dining/food/5-restaurants-should-try-in-ayutthaya/
เมื่อเห็นอาหารตรงหน้าดีนก็ทำตาโตเป็นประกาย เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ทานกุ้งตัวเป้ง ๆ แบบนี้เลย อย่างว่าล่ะ ภาคเหนือมีทะเลให้ติดเสียที่ไหน …ว่าแต่อยุธยามีทะเล?
“คุณลูกค้ารีเควสเป็นอาหารแนะนำที่ไม่เผ็ดใช่ไหมคะ แม้สีสันจะดูจัดจ้านแต่รสชาติไม่เผ็ดแน่นอน ที่คุณลูกค้าเห็นอยู่กลางโต๊ะคือวัตถุดิบขึ้นชื่อของแม่น้ำเจ้าพระยา แม้ว่าอยุธยาจะไม่ติดทะเลแต่ในแม่น้ำอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือกุ้งแม่น้ำ ซึ่งในเซ็ตจะประกอบด้วย ยำถั่วพูกุ้งสด กุ้งผัดกะเพรากรอบ ปลากระพงทอดซอสมะขาม ต้มยำกุ้งน้ำข้น และไฮไลต์คือกุ้งเผาอยุธยาค่ะ เชิญรับประทานได้ เอ็นจอยค่ะ”
ไกด์แนะนำอาหารให้ด้วยซึ่งดีนไม่รู้หรอกว่าชื่อแปลก ๆ อย่าง ‘ถั่วพู’ คืออะไร คงเป็นถั่วอย่างนึงที่หาไม่ได้หรือหาได้ยากทางฝั่งตะวันตกล่ะมั้ง บางทีอาจไม่ต่างจากที่ส้มตำใส่ถั่วฝักยาวเท่าไรหรอก ด้วยความสงสัยเขาจึงตักชิมเป็นอย่างแรก เมื่ออาหารเข้าปากชายหนุ่มก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ มันไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวกันเป็นเอกลักษณ์อย่างถั่วฝักยาว เรียกว่ากินง่ายเลยทีเดียว แต่ที่ว้าวสุด ๆ คืออะไรกรอบ ๆ ที่โรยอยู่บนนั้นมากกว่า คืออะไรนะ? หัวหอม กระเทียมเจียว?
“อร่อยดีนะแมคซี่ ไม่เผ็ดจริงด้วย คราวนี้นายกินได้สบายแน่ ๆ”
@Mackenzie
“เผ็ดนิดหน่อยแต่ก็กินได้ใช่ไหมล่ะ”
ดีนยิ้มแฉ่งให้ สีแดง ๆ ที่เจืออยู่ในอาหารน่าจะมาจากน้ำมันพริกล่ะมั้ง ดีนก็ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรเหมือนกัน แล้วเขาก็ลองชิมปลาทอดที่แมคเคนซีตักให้ ซอสรสชาติเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ที่ราดบนตัวปลาที่ทอดกรอบจนหอมเป็นรสชาติกลมกล่อมลงตัว
“อร่อยจัง ฉันชอบนะ ว่าแต่มันชื่ออะไรนะ ปลาทอดซอสมะขาม? ซอสมะขามที่เหมือนกับวูสเตอร์ซอสน่ะเหรอ?”
ส่วนตัวชายหนุ่มคิดว่ารสชาติไม่คล้ายกันเท่าไร ที่ทราบก็เพราะเขาเคยหยิบขวดเครื่องปรุงมาอ่านฉลากเล่น ๆ แล้วเห็นว่ามะขามถูกนำมาเป็นส่วนผสมซอสหลายอย่าง เช่น วูสเตอร์ซอส และบาร์บีคิวซอส เป็นต้น ส่วนรูปร่างหน้าตาของมะขามเป็นอย่างไรเขาไม่รู้จัก
“นี่ ๆ มากินไฮไลต์ของมื้อนี้ดีกว่า กุ้งแม่น้ำอโยธยา”
กล่าวจบก็จิ้มส้อมลงบนเนื้อกุ้งอวบขาวแล้วเอาเข้าปากโดยไม่แตะต้องยังส่วนหัวกุ้ง ซึ่งดีนไม่เคยเห็นการเสิร์ฟกุ้งแบบมีหัวติดด้วยมาก่อน ทำไมคนไทยไม่เอาหัวกุ้งออกนะ อย่าบอกนะว่าคนไทยกินเครื่องในกุ้งที่อยู่บนหัวมันด้วย คนที่เรียนชีววิทยามาได้แต่ขมวดคิ้ว นั่นมันตัวกรองของเสียนะเฮ้ย! แต่ถ้าไม่ใส่ใจมันกุ้งสีส้มสวยงามนั่นแล้วเนื้อกุ้งที่เด้งดึ๋งนี่ก็สดมาก หวานอร่อยรสชาติดีเลยทีเดียว
“อร่อยดีนะ แต่ว่านี่ไฮไลต์เหรอ?”
น้ำเสียงกึ่งผิดหวังเข้าหูของไกด์สาวเธอจึงให้คำแนะนำส่วนที่เธอตกหล่นไป
“ลองทานมันกุ้งดูค่ะ กุ้งอยุธยาขึ้นชื่อเรื่องมันกุ้งที่อร่อย ถ้าราดน้ำจิ้มซีฟู้ดด้วยจะอร่อยมาก”
นั่นไง คนไทยกินมันกุ้งดิบจริงด้วย…
@Mackenzie
เห็นแมคเคนซีกินไปแล้วก็อยากลองบ้างโดยทำเป็นลืม ๆ ไปว่าตับของกุ้งมีเอาไว้ทำหน้าที่อะไร จากนั้นจึงลอกเลียนแบบการกินของอีกฝ่ายแล้วทำตามเพียงแต่ยังไม่ทันได้ราดน้ำจิ้มสีเขียวอีกฝ่ายก็ร้องไอมาก่อน
“จริงดิ ซอสนี่เผ็ดขนาดนั้นเลย?”
ขมวดคิ้วมองซอสสีเขียวแล้วลองตักดู ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพสโต้ซอส แต่เมื่อสังเกตดี ๆ แล้วนี่มันพริกสีเขียวปั่นชัด ๆ เลย
‘ขอบคุณนะแมคซี่ที่เป็นหนูทดลองไปก่อน’
พอมีตัวอย่างคนไฟแล่บให้ได้เห็นเขาจึงตักน้ำจิ้มซีฟู้ดราดลงบนมันกุ้งแค่นิดเดียวจากนั้นก็ลองรับประทาน
“โอ้ พระเจ้า นี่มันอร่อยกว่าที่คิดไว้ซะอีก!”
ถึงกับต้องป้องปากทำตาโตเมื่อได้ชิมรสมันกุ้งและน้ำจิ้มซีฟู้ด ความมันหอมหวานนี่มันสุดยอดจริง ๆ และสิ่งที่ชูให้รสมันกุ้งเด่นขึ้นมายิ่งกว่านั้นคือรสของน้ำจิ้มเปรี้ยวนำ แม้จะเผ็ดแต่ยังอยู่ในระดับที่รับได้ (อาจเพราะเขาใส่มันลงไปน้อย) เป็นของดีที่ทำเอาอยากเอามากินแทนมินโญเน็ตซอสที่ปกติจะใช้กินกับซีฟู้ดเลย
อาหารรสชาติถูกปากไปสามอย่างแล้วดีนจึงลองชิมอย่างที่สี่และห้าที่ถูกจัดเสิร์ฟ กุ้งผัดกะเพรากรอบกับต้มยำกุ้งก็อร่อย แต่ว่าดีนไม่ได้รู้สึกว้าวขนาดนั้นอาจเพราะตลอดการเดินทางเขาเคยชิมต้มยำกับผัดกะเพรามาแล้วก็ได้ มันจึงไม่ใช่เฟิร์สอิมเพรสชั่นที่จะมาประทับใจอย่างเวอร์วัง
“ต้มยำกุ้งก็อร่อยนะ เผ็ดน้อยกว่าที่เคยกิน แต่ว่าเปรี้ยวหวานเค็มนี่ไม่ลดเลย”
@Mackenzie
“นั่นสิ รู้สึกว่าตั้งแต่เข้าสุโขทัยมาอาหารจะหวานขึ้นนะ”
แปลว่าไม่ได้คิดไปเองคนเดียว แม้บางเมนูจะซ้ำกันแต่พอเป็นคนละภาคแล้วกลับได้รสชาติที่แตกต่าง แปลว่าคนภาคเหนือไม่ค่อยกินหวาน เน้นเค็มกับเปรี้ยวเป็นหลัก พอมาคิดแบบนี้ชักอยากรู้เลยว่าอาหารเมนูเดียวกันแต่เป็นภาคอื่น ๆ จะให้รสชาติแตกต่างกันแค่ไหน
คิดเพลิน ๆ หันไปมองคนรักอีกที คนที่นั่งตรงกันข้ามก็รับประทานข้าวหมดจานซะแล้ว กินไวจริง ๆ เขากินข้าวพร่องไปยังไม่ถึงไหนเอง สงสัยว่าอาหารจะถูกปากและอีกฝ่ายกำลังหิว อย่างว่าแมคเคนซีต้องใช้พลังงานมากกว่าเขาเลยต้องกินมาก ๆ หน่อย
“มีข้าวให้เติมไหมนะ?” ดีนพึมพำ จากนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นโถบางอย่างที่อยู่บนชั้นวางของข้างโต๊ะเลยลองเปิดดู “โอ้ ในนี้มีข้าวนี่นา นายเติมหน่อยไหม?”
@Mackenzie
“คงงั้นแหล่ะ” แต่ไม่ว่าอาหารชาติไหนก็คงจะมีรสมีชาติกว่าอาหารอังกฤษหมดนั่นแหล่ะ… “ข้อดีของการเป็นคนซนไง”
ดีนหัวเราะก่อนจะตักข้าวเติมใส่จานให้แมคเคนซีไปแบบพูน ๆ
ระหว่างที่กำลังเอร็ดอร่อยอยู่นั่นเองเรือไพรเวททริปของพวกเขาก็ผ่านจุดแลนมาร์กแรก
https://i.imgur.com/pZuKJrq.png
Credit: https://www.vacationistmag.com/watmahathat-ayutthaya/
“ยอดเจดีย์ที่คุณลูกค้าเห็นทางซ้ายมือคือ ‘วัดมหาธาตุ’ ตัวพระปรางค์ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรม ‘ขอม’ หรือกัมพูชาในยุคหลายพันปีที่แล้ว โดยวัดนี้ถูกสร้างขึ้นมาแล้วหกร้อยห้าสิบปี ในอดีตยอดพระปรางค์ได้ถูกต่อเติมให้มีความสูงใหญ่ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ยอดพระปรางค์ได้ถล่มลงมาจนเหลือเพียงแค่ที่เห็นค่ะ ความสำคัญของวัดมหาธาตุนั้น นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุแล้ว ยังถือเป็นวัดที่เป็นศูนย์กลางเมืองและเป็นสถานที่จัดพระราชพิธีต่าง ๆ ของกรุงศรีอยุธยา โดยมีสมเด็จพระสังฆราชประทับอยู่ที่นี่ และไฮไลต์ของวัดมหาธาตุคือ ‘เศียรพระพุทธรูปในรากไม้หน้าวิหารเล็ก’”
น่าเสียดายที่พวกเขาได้แค่นั่งเรือชมแบบผ่าน ๆ แล้วถ่ายรูปวัดภายนอกจากในเรือ ไม่ได้ลงไปดูสภาพวัดและเศียรพระในรากไม้อย่างที่ไกด์พูด แต่ถ้าจะให้ลงไปเที่ยวทั้งยังที่กินอาหารแสนอร่อยยังไม่เสร็จเขาก็คงไม่ยอมหรอก
“ผมสงสัยอย่างนึง ทำไมวัดโบราณในไทยถึงมีสภาพเหมือนซากปรักหักพัง ผมเคยผ่านวัดมาหลายแห่งที่มีอายุพอ ๆ กันก็ไม่ได้มีสภาพทรุดโทรมแบบนี้”
ดีนตั้งข้อสงสัย โบราณสถานของไทยหลายแห่งมีสภาพผุพังทั้งที่อายุยังไม่ถึงพันปี ตอนแรกตั้งข้อสันนิษฐานว่าเพราะบ้านเรือนทำด้วยไม้เลยผุพังเหลือแต่ฐานรากที่ทำจากอิฐปูน แต่วัดที่สำคัญถึงขนาดใช้จัดพิธีสำคัญยังปล่อยให้ทรุดโทรมเหลือแต่ซากตอราวกับถูกเผาเมืองอย่างไรอย่างนั้น แต่ครั้นจะเดาเอาต่อไปก็ใช่ที่ ตอนนี้พวกเขามีไกด์อยู่ตรงหน้าก็ถามไปเลยสิให้มันรู้แล้วรู้รอด
“เป็นคำถามที่ดีค่ะ ตามพงศาวดารเขียนไว้ว่าเมื่อก่อนวัดในกรุงศรีอยุธยาทำจากทอง ที่พวกคุณได้เห็นวัดในสภาพนี้อาจทำให้จินตนาการลำบากนิดนึง แต่ถ้าคุณอยากเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาเมื่อก่อนสวยงามแค่ไหน เมื่อเข้ากรุงเทพฯ อยากให้คุณลองไปที่วัดพระแก้วค่ะ ที่นั่นจำลองวัดจากกรุงศรีอยุธยามาเกือบหมด”
“โห ทำจากทอง แล้วทองไปไหนหมดล่ะครับ?” ดีนถาม
“เมื่อปี 1767 กรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่าตีแตก บ้านเมืองจึงถูกเผาทำลาย ถ้าในหนังสือเรียนเก่าจะระบุว่าพม่าได้เผาองค์พระแล้วหลอมทองแล้วนำกลับเมืองไป แต่จากหลักฐานใหม่ที่ถูกค้นพบได้ข้อเท็จจริงว่า หลังจากที่เสียกรุงศรีฯ มีนักรบคนหนึ่งชื่อพระเจ้าตากสินพยายามรวบรวมไพร่พลที่กระจัดกระจายและตีเมืองคืนจากพม่า”
“ทว่าเมืองหลวงเก่าถูกทำลายไปเยอะแล้วกอปรกับว่าศัตรูได้รู้ทางหนีทีไล่ของอยุธยาเป็นอย่างดี พระองค์จึงทรงย้ายเมืองหลวงไปที่ใหม่คือ ‘กรุงธนบุรี’ และปราบดาภิเษกตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ที่ธนบุรีไม่มีทรัพยากรอื่นใดไปกว่าทุ่งนา จึงสันนิษฐานว่าพระเจ้าตากสินได้นำทรัพย์สินเก่ามาเป็นวัสดุในการก่อสร้างแปลงเมืองใหม่ค่ะ อย่างวัดภูเขาทองก็ว่ากันว่าได้ใช้รากฐานอิฐหินปูนทรายจากซากวัดเก่าในอยุธยามาก่อสร้างถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่นั่นเป็นเพียงหลักฐานที่ไม่ได้มาจากการจดบันทึกค่ะ จึงเป็นเพียงหนึ่งในข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุด”
ไกด์สาวอธิบายยาวส่วนนักเรียนก็ได้แต่นั่งฟังตาปริบ ๆ ดีนไม่ค่อยรู้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยอาจจะงงชื่อบุคคลสำคัญและชื่อเมืองเสียหน่อย เขาคิดว่าถัดจากอยุธยาจะมีเมืองหลวงเป็นกรุงเทพฯ เลยเสียอีก และเมื่อเขาถามต่อ ไกด์ก็ร่ายยาวเรื่องประวัติการกู้ชาติของพระเจ้าตากสิน ลามจนมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น แล้วยังแถมมาถึงสมัยปัจจุบัน เรียกว่าอิ่มทั้งความรู้และอิ่มทั้งอาหารไปพร้อม ๆ กัน
@Mackenzie
เมื่อจบคาบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยหนึ่งศูนย์หนึ่งเรือก็ล่องมาจนถึงแลนด์มาร์คต่อไปคือ ‘วัดไชยวัฒนาราม’ ที่อยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำ สภาพไม่แตกต่างจากวัดมหาธาตุที่เพิ่งผ่านทางมาทั้งรูปแบบของสถาปัตยกรรมและความผุพังเหลือแต่โครงสร้างเพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งคงต้องตามนั้นเพราะว่าวัดมหาธาตุเป็นวัดหลวงที่อยู่เกาะกลางเมืองนี่นะ แต่ว่าวัดไชยวัฒนารามอยู่ที่เกาะรอบนอก
https://i.imgur.com/aVmESTh.png
Credit: https://go.ayutthaya.go.th/%E0%B ... %E0%B8%B2%E0%B8%A1/
คุณไกด์อธิบายประวัติความเป็นมาว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นเป็นพระราชกุศลแก่พระมารดาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองที่ได้สิ้นพระชนม์ไป จะว่าไปเขาได้ยินชื่อพระมหากษัตริย์พระองค์นี้มาถึงสองครั้งแล้ว หรือที่มาที่ไปของชื่อ ‘ปราสาททอง’ คือการที่ชอบวัดที่เคลือบไปด้วยทองกันนะ? แล้วดีนก็ลองปรับมุมมองใหม่ จินตนาการภาพวัดเบื้องหน้าใส่สีทองเข้าไปก็ทำให้สนุกไปอีกแบบ
หลังรับประทานของคาวกันเสร็จพนักงานบนเรือก็เสิร์ฟของหวานต่อ ไม่ได้คิดเลยแฮะว่ามีในคอร์สด้วย คุ้มชะมัด https://i.imgur.com/5HkuBa8.png
“ของหวานมื้อนี้คือ ‘ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง’ ค่ะ ของหวานเซ็ตนี้ถูกคิดค้นขึ้นโดย ‘ท้าวทองกีบม้า’ หรือ ‘มารี กีมา’ เธอเป็นหญิงสาวลูกครึ่งชาวโปรตุเกส-ญี่ปุ่น มีชีวิตอยู่ในสมัยพระนารายณ์มหาราช ซึ่งถือเป็นยุคทองของอยุธยา ความจริงแล้วขนมสามชนิดนี้ไม่ใช่ขนมไทยแท้แต่เป็นขนมหวานโปรตุเกสที่ท้าวทองกีบม้านำมาประยุกต์กับวัตถุดิบท้องถิ่นที่มี ขนมหวานสามชนิดทำมาจากไข่แดงของไข่เป็ด นำไปเชื่อมกับน้ำตาลค่ะ”
‘แม้แต่ของหวานก็ยังเป็นทอง…’
ดีนคิดในใจ แม้ไม่รู้ว่าระหว่าพระเจ้าปราสาททองกับพระนารายณ์มหาราช พระองค์ไหนมาก่อนกันก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่าเมืองไทยสมัยก่อนจะรุ่มรวยไปด้วยทองคำเสียเหลือเกิน แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน ชายหนุ่มลองเอาขนมรูปดอกไม้เข้าปาก มันช่างหวานเจี๊ยบถูกใจซะจริง ๆ
“หวานมาก อย่างอร่อยเลย”
@Mackenzie
“หมดแหล่ะ น่าจะนะ”
ถ้ารู้ว่ามีของหวานคงจะเผื่อกระเพาะเอาไว้หน่อย แต่ไม่เป็นไร แค่ของหวานไม่กี่ชิ้นก็น่าจะกินหมด
หลังจากที่พวกเขาเสร็จสิ้นจากการรับประทานอาหารแล้วก็ชมวิวแม่น้ำอีกครู่หนึ่งก่อนที่เรือจะวกกลับมายังท่าน้ำแรกของวัดพนัญเชิง ทั้งสองร่ำลาไกด์สาวและทีมงานก่อนจะแยกตัวออกมาเที่ยวชมวัดพนัญเชิงนิดหน่อยก่อนที่จะเดินทางไปยังสถานที่ถัดไป
https://i.imgur.com/uvRHJI1.png
Credit: https://asianculturesmuseum.org/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87/
“เอาล่ะ ต่อไปวังช้างอยุธยา”
พอจะได้ไปเจอสัตว์ดีนก็ดูจะกระดี๊กระด๊ามากขึ้นกว่าปกติ เขาปักหมุดสถานที่เอาไว้แล้วให้แมคเคนซีขับพาไป และเมื่อไปถึงคราวนี้ดีนต้องกลับมาทำหน้าที่เป็นไกด์เถื่อนด้วยตัวเอง ความรู้ที่จะมอบให้ไม่มี มีแต่ลากแมคเคนซีไปนั่นมานี่ตลอดเวลา
“โอ๊ะ การแสดงกำลังจะเริ่มแล้ว ไปดูกันเถอะ!”
ทั้งสองรีบเดินไปที่ลานแสดงช้างหลังจากที่มาถึงได้ไม่นาน เมื่อจับจองที่นั่งได้แล้วการแสดงก็เริ่มขึ้น ครูฝึกช้างใส่ชุดสีแดงออกมาซึ่งดีนรู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ตามมาด้วยลูกช้างตัวน้อย แต่ก็พูดว่าน้อยได้ไม่เต็มปาก ช้างน้อยโชว์แรกด้วยการยกขาหน้าขึ้นสวัสดีสองขาเพื่อแลกกล้วยและอ้อย จากนั้นก็เป็นโชว์เล่นลูกบอลและควงห่วงฮูลาฮูปดูน่าเอ็นดู
https://i.imgur.com/JrDlT75.png
Credit: https://www.touronthai.com/article/2074
จบจากการแสดงช้างน้อยก็ต่อด้วยช้างใหญ่และการแสดงที่ผาดโผนมากยิ่งขึ้นคล้ายกายกรรมเปียงยาง ผู้ฝึกจะปีนป่ายห้อยโหนไปตามงวงช้างจนจบที่ทำหกสูงอยู่บนช้างใหญ่อย่างน่าหวาดเสียว แต่ก็มีโชว์น่ารัก ๆ อย่างเช่นการให้ช้างวาดรูปด้วยเช่นเดียวกัน แล้วมันดันวาดออกมาเหมือนโจทย์ได้เสียด้วยสิ
“โห ช้างพวกนั้นเก่งเป็นบ้า ฉันอยากรู้แล้วสิ.. หรือว่าครูฝึกช้างจะเป็นบุตรแห่งเทพอะไรสักอย่างที่คุยกับช้างได้หรือเปล่านะ”
หากเป็นตัวเองก่อนหน้าคงไม่คิดแบบนี้ ทว่าด้วยสายเลือดโพไซดอนที่สามารถคุยกับสัตว์น้ำและม้าได้ด้วยเนี่ยสิ.. จะว่าไปเหมือนจะเคยเห็นเทพฮินดูที่มีหัวเป็นช้างอยู่เหมือนกันนะ เพียงแต่ว่าเขาจำชื่อไม่ได้
@Mackenzie
“ก็ใช่”
ดูเหมือนว่าเขาอยู่ในโลกแห่งเทพมากไปจนหลงลืมไปว่าปุถุชนคนธรรมดาก็เก่งกาจมีความสามารถเช่นเดียวกันจึงทำได้แค่ยิ้มแหะ ๆ แต่พอแมคเคนซีถามว่าอยากให้อาหารช้างไหมดีนก็ทำตาลุกวาว
“แน่นอน เอาสิ!”
เมื่อได้รับการอนุมัติดีนก็ลากมือแมคเคนซีไปยังแถวหน้าของลานแสดงแล้วใช้พ็อกเก็ตมันนี่ซื้ออาหารช้างมาสองชุดใหญ่ ๆ สำหรับตนเองและคนรัก (ที่อาจจะจิ๊กจากอีกฝ่ายอีกทีหลังจากถุงของเขาหมด)
“มีอะไรบ้างหว่า? กล้วย สับปะรด แตงโม… แล้วนี่อะไร ไม้ไผ่?”
ทำหน้างง ๆ เพิ่งรู้แหล่ะนี่ว่าช้างไทยกินไม้ไผ่เหมือนกับแพนด้าด้วย ตอนที่เขาไปเท็กซัสเห็นมันกินแต่หญ้าแห้งกับผลไม้ ถึงจะงง ๆ แต่ก็ลองให้มันไปก่อน แล้วเจ้าช้างก็ดูเหมือนจะชื่นชอบเสียด้วย
@Mackenzie
“ไม่กลวงจริงด้วย”
เขามองแท่งปริศนาดุ้นที่สองที่หยิบขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ไผ่แล้วมันคืออะไรกันล่ะ? สงสัยว่าเขาต้องไปหาข้อมูลเพิ่มจากคนแถว ๆ นี้ ซึ่งนั่นก็คือพี่เลี้ยงช้าง (ควาญช้าง) นั่นเอง
“พี่ชาย อันนี้คืออะไรน่ะ?” ดีนพูดใส่โทรศัพท์แล้วส่งคำแปลให้ควาญช้างอ่าน
“นั่นคืออ้อย ที่เอาไว้ทำน้ำตาล ช้างชอบหวาน ๆ” (ภาษาไทย)
“ขอบคุณ…”
คำตอบทำให้ชายหนุ่มถึงบางอ้อ เขารู้นะว่าน้ำตาลทำมาจากอ้อยแต่ก็รู้จักเพียงแค่ตัวหนังสือ ส่วนของกินเพิ่งจะเคยเห็นของจริงวันนี้นี่เอง แบบนี้ต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเอาไว้สักหนึ่งแช๊ะ
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าอ้อยหน้าตาแบบนี้”
หันกลับมาพูดกับแมคเคนซีระหว่างพินิจแท่งอ้อยอย่างชั่งใจ ความเป็นนักวิทยาศาสตร์กำเริบ ถ้าสิ่งนี้ผลิตน้ำตาลและช้างกินได้โดยไม่ผ่านความร้อนก็แปลว่าคนต้องกินได้โดยไม่เป็นอันตราย เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้วดีนจึงเก็บอ้อยแท่งนั่นลงกระเป๋าแล้วเปลี่ยนให้ผลไม้อย่างอื่นแก่ช้างแทน
@Mackenzie
“อือฮึ ก็ใช่น่ะสิ ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไงใช่ไหม ฉันคิดว่าดุ้นนี้น่าจะพอสำหรับเราสองคนนะที่รัก”
ดีนยิ้มแฉ่ง มัดมือชกให้อีกฝ่ายมาลองของด้วยกันซะเลย จากอาหารที่ซื้อมาให้ช้างเผื่อแผ่แก่ทุกเชือกจนช้างเหล่านี้ต้องเลิฟ ๆ พวกเขาแน่ ๆ ไม่ว่าจะขอบคุณจากใจหรือไม่ แต่ช้างน้อยช้างใหญ่ต่างชูงวงท่าขอบคุณเหมือนในโชว์
“อืมมมม ขี่ช้างมะ? พ่อกับลุงบอกว่าตอนมาไทยแลนด์ตอนนั้นได้ขี่ช้างด้วย ฉันว่ามันเท่มาก ๆ อยากลองน่ะ”
ราวกับว่าประโยคเชิญชวนมีนัยน์แฝงเป็นประโยคบอกเล่าซ่อนอยู่ ถ้าอีกฝ่ายไม่เอาด้วยเขาก็เหงาแย่น่ะสิ
@Mackenzie
“ถ้านายไม่ซนก็ไม่อันตรายหรอกน่า”
ดีนยิ้มแฉ่ง กับคนที่เลี้ยงลูกสิงโต (นีเมียน) เป็นสัตว์เลี้ยงได้คงไม่มีสัตว์ใดที่น่ากลัวสำหรับเขาอีกต่อไป จนตอนนี้ชักสงสัยในตัวเองขึ้นมาแล้วว่าเรียนเทคโนโลยีชีวภาพมาทำไม ถึงจะกลัวเลือดจนเป็นสัตวแพทย์ไม่ได้แต่อย่างน้อยเขาก็เรียนสัตววิทยาได้อยู่นี่นา แต่ก็ให้คำตอบแก่ตนเองได้อย่างหนึ่งว่า เขาเพิ่งรู้ว่ามีคณะนั้น (ในมหาวิทยาลัยอื่น) ก็เมื่อตอนที่เข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว
พออีกฝ่ายรับปากดีนก็ลากตัวแมคเคนซีเดินจ้ำอ้าวไปยังจุดให้บริการขี่ช้างพาเดินเที่ยว พวกเขาต้องขึ้นไปบนบันไดสูง ๆ เพื่อจะขึ้นไปบนตัวช้าง มันไม่ได้ยากอย่างที่คิดเพียงแค่หวาดเสียวนิดหน่อย คนจินตนาการล้ำเลิศเล็งไว้ก่อนว่าถ้าเกิดเหตุผิดพลาดจะต้องกลิ้งตัวลงท่าไหนถึงจะบาดเจ็บน้อยที่สุด หากบาดเจ็บขึ้นมาใช้บ่อน้ำเลี้ยงช้างรักษาบาดแผลตัวเองไม่ได้ด้วยสิ น่าจะไม่เข้าข่ายแหล่งน้ำธรรมชาติเสียเท่าไร
ดีนเป็นคนขึ้นช้างไปก่อนจากนั้นเขาก็ยื่นมือให้แมคเคนซีจับยึดเอาไว้เพื่อขึ้นช้างมาตาม เมื่อพร้อมสำหรับการเดินทางแล้วก็ตั้งวีดีโอถ่ายวล็อกเก็บไว้เป็นความประทับใจเสียหน่อย มันเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ และโคลงเคลง ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนไทยสมัยโบราณใช้ช้างเป็นพาหนะเดินทางข้ามเมืองกัน แถมยังมีการรบบนหลังช้างด้วยอีก มันไม่น่าจะง่ายเหมือนต่อสู้บนหลังม้านะ ตอนนี้เขายังนึกภาพตามที่ไกด์เล่าให้ฟังไม่ออก สงสัยพอได้กลับไปต้องไปเสิร์จหาของจริง (ที่เป็นภาพยนตร์) ดูสักหน่อย
@Mackenzie
“โธ่ที่รัก ฉันเพิ่งรู้ว่านายเป็นโรคกลัวความสูง นอกจากอาหารเผ็ดนี่ก็เป็นจุดอ่อนของนายสินะ ต้องจดไว้ละ”
แกล้งพูดเล่นเย้าให้อีกฝ่ายหายเกร็ง ตอนนี้พวกเขาเที่ยวในวังช้าง แล เพนียด จนทั่วแล้วก็ได้เวลาโบกมือลาน้องช้างแล้วไปเที่ยวยังสถานที่ถัดไป
“อ๊ะ! นึกออกแล้ว ชุดที่พี่เลี้ยงช้างใส่ มันคล้ายก็อบลินเลยนี่หว่า!”
จู่ ๆ ดีนก็โพล่งออกมาหลังจากก้าวขาออกมาจากวังช้างได้ไม่เท่าไร จากที่เขาเอาแต่ครุ่นคิดอยู่นานสองนานว่าเคยเห็นชุดสีแดงแบบนี้จากที่ไหนกันหว่า ก็ถึงบางอ้อว่ามันคลับคล้ายคลับคลากับตัวที่ร้อง ‘กี้!’ สัญชาติไทยที่เคยประมือด้วยตอนไปกางเต็นท์พักแรมกันที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
แต่ทำไมก็อบลินถึงใส่ชุดคนเลี้ยงช้างล่ะ? หรือชุดของคนเลี้ยงช้างคือชุดนักรบไทยสมัยก่อน พอประติดเรื่องราวได้ก็ถึงบางอ้อขึ้นมาทันที (แบบคิดเองเออเอง)
แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน เพราะสถานที่ถัดไปที่จะไปเที่ยวกันคือก็คือ ‘ตลาดน้ำอโยธยา’ ที่เขาว่ากันว่าเมื่อมาเมืองไทยต้องไปเยือนตลาดน้ำสักแห่งให้ได้เพื่อซึมซับวิถีชีวิตชาวไทยภาคกลางสมัยก่อน แม้ช่วงนี้การท่องเที่ยวจะซบเซาแต่ตลาดน้ำยังคงให้บรรยากาศสมัยเก่าได้เป็นอย่างดีแม้พ่อค้าแม่ขายจะแต่งกายสมัยใหม่แล้วก็ตาม แล้วด้วยความที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุดตามราชการจึงไม่มีการแสดงในตลาดน้ำซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
https://i.imgur.com/Ua9BPTk.png
Credit: https://www.facebook.com/profile.php?id=100081938394483
“ที่นี่ของขายเยอะเหมือนกันแฮะ”
กำลังคิดว่าจะซื้อของฝากอะไรเพิ่มดีไหมนะ น้องสาวยังไม่ได้ของขวัญวันเกิดเลยด้วย บางทีถ้าซื้อตุ๊กตาไปฝากให้เธอสักตัวอาจทำให้รีชาไม่โกรธที่เขาหายตัวไปนานจนหญ้าแมวที่ซื้อให้ออมเล็ตเคี้ยวเล่นเติบโตจากเมล็ดงอกยาวจนกินได้หลายรอบ แต่เมื่อถามราคาก็แอบรู้สึกตะหงิดใจนิด ๆ
‘ค่อนข้างแพงกว่าที่อื่นเยอะเลยแฮะ…’
@Mackenzie
“อยากเดินดูก่อนน่ะ” กล่าวไปครึ่งประโยคก่อนจะเข้าไปกระซิบข้างหูอีกฝ่าย “ฉันแอบคิดว่าของในนี้แอบแพงกว่าข้างนอกเยอะเลย มันมีเงินซื้ออยู่หรอก แต่อยากลองหาร้านที่ถูกกว่านี้ดู ถ้าไม่มีค่อยวกกลับไปซื้อร้านที่ถูกใจ”
เคยได้ยินมาหรอกว่าคนไทยชอบชาร์จราคาสินค้าขึ้นเมื่ออยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้องจ่ายเงินสองเท่าเพื่อซื้อสินค้าชิ้นเดียว มันเป็นธรรมเนียมไทยที่รู้สึกไม่แฟร์เท่าไรแต่ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้เลยจนต่อต้าน แต่เขาอยากจะเลือกสนับสนุนร้านค้าที่ตรงไปตรงมาไม่แอบขึ้นราคาเฉพาะนักท่องเที่ยว
และดูเหมือนว่าร้านที่มีราคาติดจะมีแค่ร้านขายของกินในนี้ ระหว่างเที่ยวชมจึงได้ขนมติดไม้ติดมือมากมายทั้งเป็นของฝากและกินเองระหว่างเดินทาง แต่ที่เห็นแล้วประทับใจที่สุดเลยคือ ‘โคล่าใส่ถุงหิ้วพร้อมน้ำแข็ง’ เป็นอะไรที่อะเมซิ่งไทยแลนด์จริง ๆ แล้วต้องเดินมาถึงร้านในสุดถึงได้เจอร้านขายของเล่นที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาสไตล์ไทยในราคาสมเหตุสมผลกว่าต้นตลาด ในร้านขายทั้งตุ๊กตาเด็กผมจุก หญิงไทยร่ายรำ ตุ๊กตาหญิงไทยนั่งกวักมือ ตุ๊กตาตายาย ตุ๊กตาช้าง และมากที่สุดคือตุ๊กตาม้าลาย ซึ่งสร้างความงุนงงแก่ดีนเป็นอย่างมาก
“ม้าลายเนี่ยนะ? นึกว่ามันเป็นสัตว์ท้องถิ่นแอฟริกาเสียอีก นิยมในไทยด้วยเหรอ?”
คงคล้ายกับที่คนชอบคาปิบาราอะไรทำนองนั้นมั้ง… เป็นอะไรที่น่าสนใจดี ซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักตัวแล้วก็เอาไปฝากพ่อ (โพไซดอน) ดีไหมนะ?
@Mackenzie
“ไม่ได้มีแต่เซรามิกสักหน่อย ดูนี่สิตัวนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าได้ด้วย”
หยิบตุ๊กตานางรำขึ้นมาตัวหนึ่ง แม้ว่าตัวหุ่นจะทำจากวัสดุที่มีความแข็งและขยับข้อต่อไม่ได้แต่ก็มีชุดไทยให้ซื้อเปลี่ยนเป็นคอลเลกชั่น คงเหมือนตุ๊กตาทหารตัวเล็ก ๆ ที่เขาเคยเล่นตอนเด็กล่ะมั้ง แต่ละคอลเลกชั่นก็จะทำท่าต่างกันแต่ก็เอามาเล่นได้อยู่ดี
“ถ้าซื้อชุดไทยไปด้วยสักสี่ห้าชุดรีชน่าจะชอบนะนายว่าไหม?”
ดีนหันไปหาแมคเคนซี ในระหว่างนั้นตุ๊กตานางรำที่ไร้ข้อต่อก็หันหัวไปมองทางแมคเคนซีด้วย
@Mackenzie
“อะ..อ้าว”
จู่ ๆ ก็ถูกดึงตุ๊กตาสาวชุดไทยออกจากมือไปอย่างรวดเร็วแถมยังถูกพาออกจากร้านขายตุ๊กตาสไตล์ไทยอีกด้วย แม้จะสงสัยแต่ดีนก็ไม่ได้ถาม บางทีอีกฝ่ายอาจจะไปเจออะไรเข้าที่ทำให้พวกเขาพูดกันตรงนี้ไม่ได้ก็ได้มั้ง เช่น สินค้าอาจไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าปี… อะไรทำนองนี้
แล้วเมื่อหยุดเดินพวกเขาก็มาโผล่ตรงหน้าร้านขายขนมและของเล่นวินเทจ ที่พอทราบได้เพราะว่าดีนเห็นลูกอมเปลือกสีเขียวมะนาวที่ขึ้นชื่อเรื่องความเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดจนลิ้นแตก
“โอ๊ะ นี่มันลูกอมที่เคยกินตอนเด็กนี่นา ฉันเคยถูกแม่ดุตอนกินลูกอมนี่ด้วย คิดถึงความหลังชะมัด”
ดีนหยิบห่อลูกอมเปรี้ยวจี๊ดขึ้นมากะว่าจะซื้อมาอมเล่นระลึกความหลังครั้งยังเยาว์วัยเสียหน่อย แต่ดูเหมือนว่านอกจากลูกอมเปรี้ยวที่เขารู้จักแล้วยังมีขนมอื่น ๆ ที่ไม่รู้จักอีก อย่างเช่นอะไรสักอย่างเป็นแท่งเหมือนไม้ ลูกอมสักอย่างที่มีขนาดพอ ๆ กันกับไข่นกกระทา และอื่น ๆ อีก
“เราจะซื้อขนมกันเยอะไปไหมนะ?” ดีนพูด แต่เขาก็ยักไหล่แล้ววางถุงลูกอมลงในตะกร้าสำหรับซื้อของ “ดูเหมือนว่าร้านนี้ก็ขายของเล่นเหมือนกันแฮะ”
เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าหน้าร้านมีหน้ากากพลาสติกรูปหน้าตัวการ์ตูนที่เคยผ่านตาตอนเด็ก (แม้ว่าสัดส่วนบางตัวละครจะไม่ได้ก็เถอะ..) ยิ่งข้างในร้านยิ่งมีของเล่นอีกเพียบ ทั้งรถของเล่นพลาสติก ชุดเครื่องมือหมอ กบไขลาน และอื่น ๆ อีกมากมายที่ดีนทั้งรู้จักและไม่รู้จัก
“งั้นฉันซื้อของเล่นร้านนี้ให้น้องละกัน ของเล่นย้อนยุคแบบนี้คุณหนูรีชต้องไม่เคยเห็นแน่ ๆ”
@Mackenzie
“เพราะมันเปรี้ยวไปนี่แหล่ะแม่เลยมองว่าเป็นอันตราย แต่ว่ามันก็มีเอฟดีเอ (อย.) นี่นา คงไม่อันตรายเท่าไรหรอก ถ้านายว่าตามนั้น งั้นฉันซื้อเยอะ ๆ เลยนะ”
หยิบขนมที่หน้าร้านใส่ตะกร้าเพิ่มเยอะจนเริ่มพูน กะว่าน่าจะเพียงพอที่จะแจกแก่เด็กทั้งค่ายได้ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปดูโซนของเล่น มีทั้งแบบที่เคยเล่นและไม่เคยเล่น บางอย่างดูจะเป็นของเล่นยุคเก่าก่อนที่เขาจะเกิดมาเสียอีก
“ได้สิ ไม่มีปัญหา ว่าแต่ชาร์ล็อตโตแล้วยังเล่นของเล่นอีกเหรอ?”
ปากพูดไปแต่ตาก็คอยสอดส่องของเล่นที่หญิงสาวอายุสิบเจ็ดจะไม่เบื่อ ดีนได้ของเล่นให้จูลี่ก่อน เป็นสปริงสีรุ้งที่เมื่อก่อนเคยมีให้และซื้อตอนซื้อรองเท้าแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว จากนั้นถึงได้เจอเข้ากับทามาก็อตจิของเล่นยุคเก้าศูนย์ที่แม้ดีนจะเกิดไม่ทันแต่เคยเห็นในคลังสมบัติเก่าของพ่อว่ามีอยู่ตัวนึงแค่เปลี่ยนถ่านก็เล่นได้ใหม่ ส่วนของรีชาให้เป็นสมุดแต่งตัวตุ๊กตากระดาษที่มีชุดให้เลือกเปลี่ยนมากกว่ายี่สิบชุดแทนตุ๊กตาของจริง
https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXc7YFUz4LznvP6ttEGsWgLGhrhRp5YucW8cSShHc6JaFkV19H1uEih27_CErNEQi9mSL3ZC6QdJez-tU-S8qNDXNyCNCAzg9iRcRMxu7qrtbBLWaKJXrd-d1dujvAS7yPJOisUiD4jK6Ko6l6gia1vWu6k?key=4pWIABGeItJrcHC8hxgkgAhttps://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXezwla3JFdt8Wa-hjlS7lyAAqQ-8c5QiH8e8qF6EzBgtKy1bevXf32qoTbzYE8R40sDHR0zKgHO8fqXaw16aQuhH7wtru1zmOxX5m32EGypTQ1WpmOEEPmTpgUut8xl708KNzks018oHa9QbCy9fSaacJc?key=4pWIABGeItJrcHC8hxgkgAhttps://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXd4zI2S_GzcjG39jbOC2IuZHjm1tzaNOwYVsegcXnSEZPIwvdZqcLYRinzzvYcF6DYSSwqtBWr4UB57FXrmvbOWkySuJeR7qKDxbEVZUIdD2boicfZAQydiXVh2_rZTUOpXB9g2mJcOzQqz1-fda-dA-vo?key=4pWIABGeItJrcHC8hxgkgA
“อันนี้ให้จูลี่ ส่วนนี่ให้ชาร์ล็อต นายว่าไง?”
@Mackenzie
“ใช่ เด็กผู้หญิงน่าจะชอบนะเลี้ยงสัตว์ ถ้าเผลอทำมันตายจะได้ไม่ต้องเสียใจมากด้วย ส่วนของจูลี่เล่นแบบนี้ไง”
หยิบสปริงสีรุ้งขึ้นมาวางไว้บนมือทั้งสองข้างก่อนจะให้มันเด้งซ้ายขวาสลับไปมาระหว่างสองมือ
“ตอนเด็ก ๆ ฉันชอบดูมันเด้งลงบันไดมาด้วย เป็นไง นายคิดว่าโอเคไหม? เด็กวัยอย่างจูลี่กับรีชาฉันอยากให้เล่นของเล่นอนาล็อกมากกว่าของเล่นดิจิตัลน่ะ”
เด็กที่อยู่ในวัยกำลังพัฒนาทั้งร่างกายและสมองควรได้เล่นเชิงกายภาพมากกว่าจ้องหน้าจออะไรสักอย่าง แม้ว่าในค่ายจะไม่ค่อยมีหน้าจอให้จ้องนอกจากคอมพิวเตอร์บ้านเฮอร์มีสก็เถอะ ส่วนชาร์ล็อตโตเป็นสาวแล้ว ให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีสักนิดสักหน่อยบ้างก็ดี เวลาออกจากค่ายไปจะได้พอใช้ชีวิตในโลกดิจิตัลนำสังคมได้บ้าง
“แล้วเด็กชายแมคเคนซีล่ะ อยากได้อะไรกลับไปเล่นบ้างไหม?”
@Mackenzie
“อุ๊..”
พอถูกเรียกว่า ‘พี่ดีน’ ก็รู้สึกว่าหมอนี่น่ารักขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้าเป็นแฟนกวนตัวเป็นผัวกวนตีนมาตลอดแท้ ๆ ดีนจึงยิ้มย่องก่อนจะตั้งใจเลือกของเล่นให้ ‘น้องแมคซี่’ อย่างตั้งใจ
“ได้สิ เดี๋ยวพี่เลือกให้เอง เชื่อมือได้เลยน้อง!”
แล้วชายหนุ่มก็เดินวนอยู่รอบชั้นของเล่นอยู่สามสี่รอบ พินิจพิเคราะห์ถึงความเข้ากันกับผู้ให้จนในที่สุดก็ได้ของเล่นให้กับแมคเคนซี
“นี่ ฉันเลือกให้นายได้แล้วที่รัก แต่นแต๊น! หมางับนิ้ว!!”
https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXfsBQIPeTycGYrYqNhM0LiV0gBiw4eS7aRr5f-p1Zn8KA6F38VdMj12M1HYChLY73J63rwFISMr_cGA5sdwT3x3Vp42JZaFxkGd6SzKW5m1koyocf9vg7i-7XqrhUwVvKsFJZzi1IiLOoykqNIEAGSimLaJ?key=4pWIABGeItJrcHC8hxgkgA
@Mackenzie
“ไม่พังหรอกน่า อะไรกัน คุณหนูแมคซี่ไม่เคยเล่นหมางับนิ้วหรือไง?”
ถ้าอีกฝ่ายไม่เคยเล่นของเล่นชนิดนี้ก็แปลว่าดีนเลือกถูกแล้วที่จะซื้ออันนี้ให้แมคเคนซี ชายหนุ่มจึงสาธิตวิธีการเล่นของเล่นกิจกรรมหมู่ให้ดู
“นี่ มันเล่นแบบนี้ ผลัดกันจิ้มฟันหมาคนละซี่ ถ้าหมางับนิ้วก็ถือว่าแพ้”
เขาจิ้มฟันหมาทีละซี่จนเกือบหมดปากหมาถึงได้หุบปากลงมางับนิ้วมือ
“ถ้าเล่นด้วยกันหลาย ๆ คนก็น่าสนุกดีใช่ไหมล่ะ เผื่อวันไหนที่อยู่กันครบ ๆ ฉัน นาย รีช ชาร์ล็อต จูลี่ แล้วเราเอามาเล่นด้วยกันนะ”
ยิ้มแฉ่งก่อนจะเอาของเล่นหมางับนิ้วใส่ลงตะกร้าไปอีกอันจนตอนนี้ตะกร้าพลาสติกแทบจะล้นทะลักไปด้วยขนมวินเทจและของเล่นยุคเก้าศูนย์ ตามที่เคยสัญญาเอาไว้ในตอนแรกของการเดินทาง แมคเคนซีจ่ายค่าท่องเที่ยวส่วนดีนออกเงินค่าของฝาก
“นายมีอะไรในตลาดน้ำที่อยากซื้อไปฝากครอบครัวไหม? ถ้าไม่รู้ไซส์งั้นก็เอาแบบที่ฟรีไซส์ได้ไหมล่ะ เหมือนที่ผ่านทางมาจะมีผ้าพันคอหรือว่าหมวกสวย ๆ อยู่นะ”
@Mackenzie
“ไม่เจ็บ มันเป็นของเล่นต้องไม่เป็นอันตรายสิ”
ถึงนิ้วจะเป็นรอยนิดหน่อยก็เถอะ แต่ว่าไม่แสบไม่คันเลยสักนิด พอแมคเคนซีบอกขอกลับไปดูของฝากหน่อยดีนก็เดินตาม เขาซื้อของฝากให้ครอบครัวมนุษย์ไปแล้วที่จังหวัดก่อนหน้าเลยไม่ได้เลือกซื้อของฝากเพิ่มไปกว่านี้
“เปลี่ยนสิ นายจำเทพีอะโฟร์ไดท์ได้ไหม ตอนรับเควสกับตอนส่งเควสเธอใส่ชุดคนละชุดกันนะ”
ภาพเทพีแห่งความรักในชุดเดรสสีแดงยังคงติดตรึงในความทรงจำ หากเขาเป็นกระจกวิเศษแล้วถูกราชินีใจร้ายถามว่า ‘กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี’ เขาจะตอบว่า ‘ก็เทพีอะโฟร์ไดท์ไงเล่าราชินี’ แล้วให้นางทั้งสองไปตบตีกันเองสโนว์ไวท์ก็จะปลอดภัย…
ดีนมองไปที่ชุดเดรสลายดอกที่แมคเคนซีหยิบขึ้นมาก่อนจะนึกภาพย้อนไปถึงเทพีเฮคาทีที่เขาเคยพบในความฝัน แม้จะพยายามจินตนาการเอาเทพีแห่งมนตรามายัดใส่ชุดลายดอกมากเท่าไรแต่เขากลับจินตนาการภาพนั้นไม่ออก ถึงชุดที่แมคเคนซีหยิบมาจะสีเข้มก็เถอะ
จะว่าไป… เขาต้องซื้อของฝากให้แม่แฟนด้วยไหมเนี่ย ความจริงถ้าจะทำคะแนนบวกมันก็ต้องตอนนี้ล่ะนะ เขาป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ มุมขายเครื่องประดับแล้วพยายามเล็งให้เข้ากับชุดที่แมคเคนซีเลือกสรร
“นายเลือกชุดนี้เหรอ เดี๋ยวฉันหาเครื่องประดับเข้าชุดให้”
@Mackenzie
“โอเคเลยที่รัก ฉันว่าสร้อยเส้นนี้น่าจะเหมาะนะ”
ดีนเลือกสร้อยคอหินสีดำมาเส้นหนึ่งที่ประดับไปด้วยโลหะลายไทยเป็นบางช่วง ถ้าประเมินจากราคาคงไม่ใช่อัญมณีล้ำค่าอะไร แต่มันก็เรียบหรูดูดีไม่แพ้สร้อยคอหรูที่ขายในช็อปแบรนเนม หวังว่าเทพีจะไม่ถือสากับของราคาถูก เพราะมันก็เป็นแค่ของฝากจากไทยแลนด์เอง
ทั้งคู่เลือกซื้อของฝากกันอีกครู่หนึ่งถึงได้ออกจากตลาดน้ำอโยธยา เป้าหมายของวันนี้คือการขับรถกลับไปที่กรุงเทพแล้วก็คืนรถเช่าที่สนามบินดอนเมือง บางทีพวกเขาอาจจะพักโรงแรมเดิมใกล้สนามบินเหมือนกับตอนขามาที่ต้องแสตนบายก่อนออกเดินทาง แต่กว่าจะไปถึงกรุงเทพเนี่ยสิรถอย่างติด พวกเขาติดแหงกอยู่แถว ๆ ปทุมธานีร่วมชั่วโมง นี่ขนาดว่ายังไม่เข้าไปถึงเมืองหลวงดีนะ สมคำร่ำลือว่าเป็นประเทศรถติดจริง ๆ ระหว่างที่รถไม่ขยับเขาถึงเอาขนมที่เหมือนกับเส้นผมบลอนด์ห่อแป้งมากินเล่นรองท้องฆ่าเวลา
เมื่อมาถึงโรงแรมพวกเขาเช็คอินเข้าพักเพื่อขนย้ายสัมภาระออกจากรถยนต์ก่อน ขามามีแต่ตัวกับกระเป๋าหนึ่งใบ (และอาวุธพิฆาตอสุรกาย) ส่วนขากลับได้ของฝากกลับมาเพียบจนแทบแบกไม่ไหว พวกเขายังเหลือวันเที่ยวอีกตั้งหนึ่งวันคงต้องคิดแล้วว่าจะทำอย่างไรกับพัสดุพวกนี้ดี บางทีอาจต้องเอาฝากไว้ในล็อกเกอร์ฝากของที่สถานีรถไฟ… หวังว่าจะมีให้ฝากนะ
พอเช็คอินและเคลียร์ของออกจากรถหมดแล้วก็พารถคู่ใจไปเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนจะส่งคืนและจ่ายเงินค่าเช่าส่วนที่เหลือให้เรียบร้อย
“ฟู้ว พรุ่งนี้ต้องเที่ยวแบบเดินเท้าแล้วสิ จะว่าไปเที่ยวแบบมีรถนี่ก็สะดวกดีเนอะ ดีนะที่ไทยไม่ค่อยมีอสุรกายมากเท่าไร ไม่งั้นนะบันเทิงแน่ ๆ”
แมคเคนซีต้องได้เห็นตอนที่ไปทำภารกิจตามหาตรีศูลของโพไซดอน ตอนนั้นน่ะได้ขับรถหนีอสุรกายกันทุกวันเช้าสายบ่ายเย็นเลยจริง ๆ
@Mackenzie
“ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องรถติดจนติดอันดับโลกอยู่แล้ว ต้องทำใจแหล่ะที่รัก เที่ยวในเมืองวันพรุ่งนี้พวกเราใช้รถไฟฟ้ากันดีกว่า”
นั่งลงข้างเตียงก่อนจะหยิบแผนการเที่ยววันพรุ่งนี้ขึ้นมาดู
“พรุ่งนี้ส่วนใหญ่ไปเที่ยววัดกับเดินชมไชน่าทาวน์สินะ.. จะว่าไปเราไม่ได้ชมความศิวิไลของเมืองหลวงเลย นายว่าถ้าเพิ่มโปรแกรมเที่ยวห้างไปอีกสักหนึ่งที่จะดีไหม กลับค่ายไปช้านิดหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง คงไม่จู่ ๆ มีภารกิจโลกแตกมาอีก..”
ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ามีภารกิจแบบนั้นอีกจะเป็นยังไง ที่แน่ ๆ ถ้าสถานะโลกแห่งเทพไม่ปลอดภัยป่านนี้รีชาหรือซันซ์น่าจะเฟซคอลผ่านเครือข่ายไอริสมา แล้วคนก่อเรื่องก็อาจจะเป็น… ไม่ ๆ ไม่อยากคิด
“ถ้ามีภารกิจโลกแตกมาอีกคราวนี้ฉันจะหนีไปสุดขอบโลกกับนายเลย”
ดีนหัวเราะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำแบบนั้นจริง ๆ ก็ได้นะ
@Mackenzie
https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXeOH2YoUwJSmoUIUMFoJcZEypMYwCUpjdM1dib4PWFGfjVz6wmtTxS7569zZGjxiF6JApGvJgmn0PUTFCFu2kAUl5Yr5bUXO9X_XTxrYLn_qfYnVwdSy5vyWoUJJ0y61PDOfxO5dqpSkXdOyR4Qwef1HrLR?key=4pWIABGeItJrcHC8hxgkgAภารกิจเที่ยวไทยแลนด์: ถ่ายรูปภาพจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
@God
Mackenzie
โพสต์ 2024-9-22 19:39:42
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2024-9-22 21:07
Dean ตอบกลับเมื่อ 2024-9-19 10:56
210Thailand P.10 - พระนครศรีอยุธยา
ออกเดินทางตั้งแต่ ...
38. Gifts For My FamilyMhttps://i.imgur.com/ZP7G7iY.png
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
หลังจากตื่นมาทำธุระส่วนตัวและทานมื้อเช้าแล้วพวกเขาก็ออกเดินทางไปยังจังหวัดอยุธยากันต่อ ดูเหมือนว่าดีนจะจองแพ็คเกจล่องเรือชมเมืองเอาไว้ แมคเคนซีจึงต้องขับรถแบบทำเวลาเพื่อไม่ให้ไปถึงเกินเวลานัด โดยเขามาจอดรถไว้ที่วัดพนัญเชิงซึ่งเป็นจุดขึ้นเรือ และก่อนที่จะเริ่มนั่งเรือทัวร์รอบเมือง ดีนก็ส่งกล้องมาให้เซลฟี่รูปของทั้งคู่เอาไว้
“ใส่เสื้อคู่แบบนี้ก็ดีนะว่าไหม”
พอดูรูปจากกล้องถ่ายรูปแล้วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย นี่คือเสื้อที่พวกเขาซื้อด้วยกันก่อนจะขึ้นรถไฟจากลอนดอนมาที่ประเทศไทย ในที่สุดก็ได้ใส่เสียที ดูดีไม่หยอก เห็นแบบนี้แล้วยิ่งอยากซื้อเสื้อคู่มาใส่อีกสักสองสามชุด
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“อยากเห็นคอลเลคชั่นใหม่ไว ๆ เลย”
คุยกระหนุงกระหนิงกันไปได้ไม่นานก็ถึงเวลาเรือออก รอบนี้ไกด์ที่นำเที่ยวพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว พวกเขาจึงไม่ต้องลำบากใช้แอปพลิเคชั่นแปลภาษาเหมือนครั้งก่อน เริ่มแรกเธอเล่าถึงประวัติของชื่อวัดที่แมคเคนซีฟังแล้วก็เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจว่าแต่ละชื่อมีความหมายต่างกันอย่างไร แต่ก็เข้าใจได้ว่าภาษาไทยนั้นมีทั้งรูปเสียงและพยัญชนะสูงต่ำมากมาย อาจจะแตกต่างกันที่ตรงนี้ก็เป็นได้
ถึงวันนี้จะอากาศร้อนนิดหน่อย แต่การได้นั่งล่องเรือชมสิ่งปลูกสร้างสองฝั่งแม่น้ำก็เพลิดเพลินดี จากที่ดีนเล่าให้ฟังว่าจังวัดอยุธยาเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศไทยในสมัยก่อนเช่นเดียวกันกับจังหวัดสุโขทัย ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าชาวไทยในสมัยก่อนเดินทางสัญจรกันโดยใช้เรือเป็นพาหนะหลัก
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
ระหว่างนั่งชมวิวตามแม่น้ำไปเรื่อย ๆ ก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน แล้วก็ถึงกับมองค้างให้กับความน่าทานของอาหารตรงหน้า มีส่งหนึ่งที่แมคเคนซีจำได้แม่นก็คือต้มยำกุ้งที่เห็นแล้วก็รู้สึกแสบปากแสบคอไม่หาย เขาฟังไกด์แนะนำอาหารทีละอย่าง เหมือนว่ามื้อนี้จะมีกุ้งเป็นวัตถุดิบหลัก แต่ปลาทอดตัวโตที่มีชื่อเรียกว่า ‘ปลากระพงทอดซอสมะขาม’ ก็น่าทานไม่แพ้กัน
“ไม่เผ็ดแน่นะ ?”
เขาถามซ้ำเมื่อดีนแนะนำ ‘ยำถั่วพูกุ้งสด’ ที่เพิ่งทานไป สีน้ำราดไม่ต่างจากต้มยำกุ้งนักเลยยังไม่ค่อยอยากวางใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ลองตักมาเล็กน้อยแล้วทานคู่กับข้าว
“ฮื่อ…เผ็ดนิดหน่อย แต่อร่อย”
แมคเคนซีพยักหน้าหงึกหงัก จะว่าไม่เผ็ดเลยก็ไม่เชิง แค่ว่าเผ็ดในระดับที่เขาทานได้ จากนั้นก็ตักปลาทอดแบ่งใส่จานให้ดีนแล้วตักให้ตนเองต่อก่อนจะลองชิมดู
“ปลาทอดนี่ก็อร่อย ซอสออกหวาน ๆ เค็ม ๆ ดี”
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“ได้ แต่ต้มยำกุ้งนั่นฉันไม่แน่ใจ”
เพยิดหน้าไปที่ชามต้มยำกุ้งซึ่งยังไม่มีใครแตะต้อง แน่นอนว่าเขารอให้ดีนเปิดก่อน
“ก็…คล้าย ๆ แต่ฉันว่าซอสนี่มีกลิ่น…แล้วก็รสชาติของอะไรบางอย่าง”
พออีกฝ่ายพูดถึงวูสเตอร์ซอส แมคเคนซีจึงลองใช้ช้อนแตะซอสมาชิมอีกรอบ ถ้าจำไม่ผิดไกด์แนะนำว่า ‘ซอสมะขาม’ เพราะอย่างนั้น กลิ่นกับรสที่ว่าก็อาจจะมาจากมะขามก็เป็นได้
ยังไม่ทันจะได้ลองชิมกุ้งเผา ไกด์ก็แนะนำว่าให้ลองชิมมันกุ้งกับน้ำจิ้มซีฟู้ด แมคเคนซีจึงตักมันกุ้งมาคลุกกับข้าวแล้วตักเนื้อกุ้งเผาส่วนนึงมาก่อนจะราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดสีเขียวคล้ายซอสเพสโต้ดู
“แค่ก ! ซอสนี่เผ็ด แต่กินกับกุ้งเผาแล้วอร่อยชะมัด”
ถึงกับไอออกมาเล็กน้อยเมื่อเจอรสเผ็ดจัดจ้านของน้ำจิ้มซีฟู้ดเข้าไปแต่ก็ยอมรับว่าน้ำจิ้มชนิดนี้เข้ากับกุ้งเผาได้ดีสุด ๆ แมคเคนซียกนิ้วโป้งขณะหยิบแก้วมาดื่มน้ำจนเกือบหมดด้วยใบหน้าแดงก่ำ
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“ใช่ไหมล่ะ เผ็ดแต่อร่อย”
เห็นดีนที่มีท่าทางลังเลแต่แรกยอมทานมันกุ้งก็ยิ้มทั้งที่หน้ายังแดงอยู่ เขาไม่ใช่นักชีววิทยาเหมือนอีกฝ่าย อะไรที่คิดว่าตนเองทานได้และดูน่าอร่อยก็เอาเข้าปากหมดแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“จริงนะ ? ถ้าเผ็ดฉันยกให้นายทั้งชามจริงด้วย”
แมคเคนซีจด ๆ จ้อง ๆ ต้มยำกุ้งอยู่สักพักก็ตักน้ำซุปเล็กน้อยกับเห็ดมาลองชิมดู
“ไม่ค่อยเผ็ดจริง ๆ ด้วย เหมือนว่าที่นี่จะออกหวานกว่านิดนึงหรือเปล่านะ”
พอรู้ว่าทานได้ คราวนี้ก็ตักกุ้งมาทานคู่กับน้ำซุปด้วยเลย
“เสียดายไม่มีออมเล็ตไทย กินกับต้มยำอร่อยมาก”
ทานไปคุยไป รู้ตัวอีกทีข้าวก็จะหมดจานแล้ว แต่กับข้าวยังเหลืออยู่เลย ถ้าได้เติมข้าวสักหน่อยก็คงดี
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“อืม…แต่ก็ยังรสจัดอยู่ดี คนไทยชอบกินรสจัดงั้นเหรอ”
ขณะกำลังจะทานปลาทอดเล่น ดีนก็บอกว่ามีข้าวให้เติมซะก่อน คนที่ยังไม่อิ่มดีเรื่องอะไรจะปฏิเสธ แมคเคนซีรีบพยักหน้ารับทันที
“เติมสิเติม ฉันนึกว่าไม่มีข้าวให้เติมแล้วซะอีก นายนี่ตาดีจริง ๆ”
เอ่ยชมคนรักแล้วตักข้าวจากในโถมาใส่จานแล้วลงมือทานต่ออาจเป็นเพราะอาหารมื้อนี้อร่อยถูกใจด้วยก็เลยเจริญอาหารเป็นพิเศษ ไม่นานนักข้าวจานที่สองก็หมดลง คราวนี้ถึงได้อิ่มจริง ๆ สักที
“เฮ้อ…อิ่มมาก พุงฉันป่องไปหมดแล้ว”
แมคเคนซีขยับเอนตัว เรียวแขนข้างนึงเท้าไปด้านหลังส่วนอีกข้างก็ลูบท้องตนเองป้อย ๆ ถ้าตอนนี้นอนพร้อมกับฟังไกด์พูดต่อได้ก็คงจะทำไปแล้ว
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
ถึงจะหนังท้องตึงจนหนังตาหย่อนแค่ไหนแต่ถ้าหลับไประหว่างที่ไกด์กำลังแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ก็คงเป็นเรื่องเสียมารยาท แมคเคนซีจึงเท้าคางค้ำไม่ให้ศีรษะตนเองจุ่มลงไปกับโต๊ะอาหาร พลางฟังเจ้าหนูจัมมัยอย่างดีนคอยถามคำถามไกด์สาวที่ตอบได้อย่างคล่องแคล่วฉะฉานไปด้วย จนอดคิดไปไม่ได้ว่านี่พวกเขากำลังอยู่ในคาบเรียนเลคเชอร์ประวัติศาสตร์ชาติไทยหรือยังไงกัน
แม้ว่าดีนจะมีคำถามมากมาย แต่สำหรับแมคเคนซีแล้วเขาชอบเป็นผู้ฟังมากกว่า เพราะอย่างนั้นจึงแทบไม่ได้ยินเสียงเขาตลอดการสนทนาระหว่างคนรักของเขากับไกด์สาวเลย
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
เรือล่องผ่านจากจุดนึงไปยังอีกจุดนึงซึ่งก็คือวัดไชยวัฒนาราม แมคเคนซีมองไปตามซากปรักของสิ่งก่อสร้างที่ตอนนี้น่าจะถือว่าเป็นโบราณสถานได้แล้ว และเมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าบนโต๊ะมีอาหารหน้าตาแปลกตาวางอยู่
“ยังไม่หมดอีกเหรอ”
ถึงกับตาโต เขานึกว่าจะไม่มีของหวานแล้วเลยทานของคาวไปซะเต็มที่ แต่พอได้ยินที่ดีนบอกว่าหวานมากแล้ว…บางทีที่เขาทานอาหารคาวจนอิ่มอาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้
“อื้อหือ…หวานจริง นายน่าจะกินหมดใช่ไหม”
ถึงอย่างนั้นก็ลองดูสักหน่อยเดี๋ยวจะเสียเที่ยวเอา แต่ก็อย่างว่า…คนที่ไม่ปลื้มอาหารหวานจัดอย่างแมคเคนซี พอทานทองหยอดไปได้คำเดียวก็ต้องหยิบนำมาดื่มด้วยรสหวานที่ทำให้แสบคอ สุดท้ายแล้วของหวานในมื้อนี้ทั้งหมดก็ยกให้ดีนจัดการอีกจนได้
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
แมคเคนซีรู้ว่าดีนมีกระเพาะแยกไว้สำหรับของหวานโดยเฉพาะเสมอ และครั้งนี้เองก็เช่นกัน ขนมทั้งสามทองได้เข้าไปอยู่ในท้องของอีกฝ่ายเรียบร้อย จากนั้นก็นั่งเรือชมวิวรมแม่น้ำไปเรื่อย ๆ จนกลับมายังที่ท่าเรือเดิมตรงวัดพนัญเชิง หลังจากที่เดินชมวัดต่ออีกเล็กน้อยพวกเขาก็เดินทางกันต่อมายังที่ ‘วังช้างอยุธยา’
และดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมาถูกเวลาเสียด้วย เพราะตอนนี้กำลังจะเริ่มมีการแสดงช้างพอดี แมคแคนซีถูกดีนที่กลายร่างเป็นเด็กน้อยทุกครั้งที่จะได้เห็นสัตว์พามานั่งตรงที่ลานแสดงช้าง พอคิดดูแล้วก็ให้อารมณ์พาลูกมาสวนสัตว์ดี
“ไม่ล่ะมั้ง คนที่ฝึกสัตว์เก่ง ๆ ก็มี นายอยากให้อาหารช้างไหม เมื่อตอนเดินมาเหมือนฉันเห็นมีที่ให้อาหารช้างด้วย”
แมคเคนซียิ้มเล็กน้อยกับความคิดของดีนแล้วส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยเสียทีเดียว แต่เขาก็คิดว่ามนุษย์เองก็มีทักษะต่าง ๆ ที่ยอดเยี่ยมเช่นกันและเรื่องฝึกสัตว์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ก่อนจะถามอีกฝ่ายเรื่องให้อาหารช้าง เขาคิดว่าถ้าดีนได้ใกล้ชิดกับช้างมากขึ้นคงตื่นเต้นไม่น้อย
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“เฮ้ ! เดี๋ยว ฉันหมายถึงแค่นาย”
แมคเคนซีรีบบอกแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันซะแล้วเมื่อเขาถูกดีนจูง (กึ่งลาก) มายังหน้าลานแสดงแล้วซื้ออาหารสำหรับช้างสองชุดเสร็จสรรพ เขาไม่ได้รังเกียจที่จะให้อาหารช้างแต่พอคิดว่าเมื่อยื่นผลไม้ที่เป็นอาหารให้แล้วเกิดช้างงับมือเขาไปด้วยก็คงขนลุกน่าดู เลยเอาเป็นว่าเขาถือผลไม้คอยส่งให้คนรักป้อนช้างต่ออีกทอดดีกว่า
“มันใช่ไผ่เหรอ แบบว่าถ้าเป็นไผ่ข้างในมันจะกลวง ๆ ไหม แต่อันนี้ไม่กลวงนะ”
พอดีนทักขึ้นมาก็เริ่มสงสัยตาม แมคเคนซีพลิกลำต้นปริศนานั้นดู มันเป็นลำต้นตันและเป็นปล้อง ๆ คล้ายไผ่แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะลำต้นไม่กลวงอย่างที่เขาเคยเห็น แถมตอนที่จับก็เหมือนจะชุ่มน้ำและเหนียวมือแปลก ๆ
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
แมคเคนซีที่ยื่นหน้ามาดูคำแปลที่หน้าจอมือถือด้วยเมื่อรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาสงสัยคืออะไรก็ถึงบางอ้อ
“ไม่น่า เจ้าพวกช้างถึงได้กินเอา ๆ นี่…อย่าบอกนะว่านายจะเก็บกลับไปลองชิม”
สายตาเหลือบไปเห็นดีนเก็บอ้อยแท่งนึงเข้ากระเป๋าพอดี หมอนี่สงสัยถึงขนาดจะเอาอาหารช้างไปลองชิมเลยหรือไง
“แล้วเราจะไปตรงไหนกันต่อ”
แมคเคนซีหยิบทิชชู่มาเช็ดมือเมื่อส่งผลไม้ให้ดีนป้อนช้างจนหมดและหยิบทิชชู่ให้อีกฝ่ายด้วย
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“มันแข็งขนาดนั้นจะแทะเขาไปได้ยังไง”
คิดไวแล้วไม่มีผิด แต่คำว่า ‘เราสองคน’ นี่หมายความว่าเขาต้องชิมด้วยงั้นเหรอ ไม่ ๆๆ เขาไม่ได้มีฟันที่แข็งแรงเหมือนช้างสักหน่อย ถ้าแทะอ้อยนี่ไปฟันเขาน่าจะหักก่อนวัยชรา
“หา ? ขี่ช้างเนี่ยนะ”
ยอมรับว่าแต่ละเรื่องที่ดีนเสนอมาตอนนี้ทำเอาแมคเคนซีตาโตอ้าปากค้างได้ตลอด อ้อยก็เรื่องนึงแล้ว นี่จะขี่ช้างที่ตัวใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ แต่ถ้าพ่อและญาติผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายเคยขี่มาแล้วก็คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง
“เอ่อ…ถ้าไม่อันตรายละก็ ลองดูก็ได้”
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
ถึงดีนจะยิ้มแบบนั้นแต่แมคเคนซีก็ยังไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่ เขามั่นใจล่ะว่าหากขึ้นไปนั่งบนหลังช้างแล้วตนเองจะไม่ซนแน่ ๆ แต่ถ้าเกิดอากาศร้อนแล้วช้างคลั่งขึ้นมาล่ะ บ้าจริง…มันต้องไม่เกิดเรื่องแบบนั้นสิน่า
หลังจากที่พากันปีนขึ้นไปบนบันไดสูงแล้ว แมคเคนซีก็จับมือดีนที่ขึ้นไปนั่งบนหลังช้างก่อนหน้านั้นแล้วไปนั่งตำแหน่งข้าง ๆ จะว่ายังไงดี มันไม่เหมือนการขี่ม้าสักเท่าไหร่ ถึงจะไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วแต่ก็โคลงเคลงไปมา แมคเคนซีจึงโอบเอวดีนที่กำลังถ่ายวล็อคไว้กันตก จนเมื่อครบรอบแล้วก็ลงมาจากหลังช้างกัน
“ให้ตายสิ ฉันไม่ได้ดูวิวเลย”
มัวแต่พะวงเรื่องจะตกหลังช้าง แมคเคนซีเลยลืมสนใจเรื่องอื่นไปซะสนิท
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
"ก็อบลิน ?”
แมคเคนซีทวนเมื่อได้ยินชื่ออสุรกาย เขาเอาแต่ต่อสู้จนแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าเจ้าพวกนั้นใส่เสื้อผ้าแบบไหน หรือจะมีแค่ดีนกันนะที่ใส่ใจรายละเอียดขนาดนั้น
จากนั้นพวกเขาก็ไปยังที่ต่อไปนั่นคือ ‘ตลาดน้ำอโยธยา’ จากที่ลองออกเสียงดูแล้วคำว่า ‘อโยธยา’ คงเป็นอีกชื่อเรียกของอยุธยาละมั้ง ที่นี่ต่างจากตลาดที่พวกเขาไปเดินมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีของขายมากมายแต่จุดสนใจของที่นี่ก็คือการพายเรือขายของนั่นยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้แมคเคนซียิ่งขึ้นว่าสมัยก่อนชาวไทยใช้เรือเป็นยานพาหนะหลักในการเดินทางแน่นอน
“นั่นสิ นายอยากได้อะไรไหม”
ถามพลางเดินดูร้านนั้นร้านนี้ไปเรื่อยจนดีนเหมือนจะถูกใจตุ๊กตาเจ้านึง แต่พอถามราคาแล้วกลับไม่ซื้อซะอย่างนั้น
“ไม่มีแบบที่ชอบเหรอ”
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“อ้อ…โอเค”
พอฟังเหตุผลดีนแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ หากได้ของแบบเดียวกันที่ราคาถูกกว่านั่นก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่แล้ว ดังนั้นแมคเคนซีจึงเดินตามคนรักไปและถือโอกาสดูของได้วยเลย ซึ่งก็ไม่เสียเที่ยว พวกเขาซื้อขนมกันมาเยอะแยะ และที่แมคเคนซีอยากลองทานมากที่สุดก็คือขนมที่ชื่อว่า ‘โรตีสายไหม’ เพราะกลิ่นแป้งที่ทำสุกจนหอมใหม่ ๆ ที่แม่ค้าทำกันให้เห็นจะ ๆ นี่แหละ
ดูเหมือนว่าดีนจะเจอร้านตุ๊กตาที่พูดถึงแล้ว จะว่าไปตุ๊กตาเซรามิกพวกนี้ก็ดูเป็นไทย ๆ ดี แต่ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน
“นายจะซื้อตุ๊กตาพวกนี้ไปฝากรีชเหรอ เด็ก ๆ เล่นตุ๊กตาเซรามิกด้วยงั้นเหรอ”
แมคเคนซีลูบคางไปมาพลางมองตุ๊กตาด้วยความสงสัย เขานึกว่าเด็ก ๆ จะชอบตุ๊กตายัดนุ่นขนปุกปุยเสียอีก ส่วนตุ๊กตาเซรามิกน่าจะเหมาะกับเอาไว้ตั้งโชว์มากกว่า
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“ฉันว่ารีชคงจะ……”
จากที่คิดว่ารีชน่าจะชอบเพราะคงคล้ายตุ๊กตาบาร์บี้ที่เด็กผู้หญิงชอบเล่น แต่พอสบตาเข้ากับตุ๊กตานางรำในมือดีนแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ เขาหยิบตุ๊กตาออกจากมือคนรักวางลงที่เดิมทันที
“ฉันว่าเราซื้ออย่างอื่นไปฝากรีชดีกว่า”
ไม่ว่าเปล่ายังดึงมือดีนให้พ้นออกมาจากร้านขายตุ๊กตาพวกนั้นด้วย
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“ทำไมนายถึงโดนแม่ดุ กินเยอะไปงั้นเหรอ”
พออีกฝ่ายพูดถึงวัยเด็กก็เกิดสนใจขึ้นมา ดีนในวัยเด็กจะซุกซนแค่ไหนกันนะ
“ซื้อไปเถอะ ไม่หมดก็แบ่งคนอื่น เราไม่ได้มาที่นี่กันบ่อย ๆ”
แมคเคนซีหลุบตามองของในตะกร้าที่ดีนเลือกไว้ ส่วนตัวเขานั้นแม้จะไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนแต่ก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี
“ฝากเลือกให้จูลี่กับชาร์ล็อตด้วยสิ“
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“ฉันเคยได้ยินมาว่าพวกลูกอมแบบนี้จะยิ่งใส่น้ำตาลเยอะ เหมือนกับดาร์คช็อกโกแลตที่ตอนกินถึงจะมีรสขมแต่กลับใส่น้ำตาลเยอะกว่าช็อกโกแลตปกติหรือช็อกโกแลตนมซะอีก”
ซึ่งถ้ามันเป็นจริงอย่างที่เขาเคยได้ยินมาก็แปลว่าดีนกินรสหวานจัดมาตั้งแต่เด็ก ให้ตายสิ หมอนี่รอดมาจนถึงตอนนี้โดยที่ยังไม่เป็นเบาหวานไปก่อนได้ยังไง อาจจะเพราะการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอละมั้ง
“ไม่รู้สิ อาจจะเล่นอยู่บ้าง ที่จริงก็อยากซื้อเสื้อผ้าไปฝากเธอเหมือนกันแต่ฉันไม่รู้ไซส์”
อย่างชุดชาวเขาที่เห็นตอนไปภาคเหนือก็คิดว่าน่ารักดี แต่ถ้าซื้อไปแล้วชาร์ล็อตใส่ไม่ได้คงน่าเสียดาย ส่วนที่นี่แมคเคนซีก็เห็นมีร้านให้เช่าชุดไทยอยู่ เห็นนักท่องเที่ยวใส่ถ่ายรูปกันเยอะแยะ แต่หากให้ชาร์ล็อตใส่ชุดไทยอยู่ที่ค่ายก็ดูจะเป็นจุดเด่นไปหน่อย
“โอ้ ดูเหมาะกับทั้งคู่ดีนะ ของชาร์ล็อตคือเกมเลี้ยงสัตว์ที่เคยฮิตเมื่อนานมาแล้วใช่ไหม แล้วของจูลี่…มันเล่นยังไง”
ดวงตาสีฮาเซลมองสปริงพลาสติกของเล่นอย่างสงสัย ของแบบนี้เอามาเป็นของเล่นได้ด้วยเหรอเนี่ย
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
แมคเคนซีมองสปริงสีรุ้งเด้งสลับไปมาระหว่างมือทั้งสองข้างของดีนแล้วพยักหน้า
“ก็โอเค สีมันสวยดี ไว้นายลองเอาไปเล่นตรงบันไดให้ดูบ้างสิ”
เขาค่อนข้างเห็นด้วยกับดีนเรื่องของเล่นของเด็ก ๆ คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ให้ช่วยเลือกให้
“ฉันเหรอ อืม…เลือกไม่ถูกเลย พี่ดีนช่วยเลือกให้บ้างได้ไหม”
พอถูกเรียกว่า ‘เด็กชาย’ ก็หลุดยิ้มเล็กน้อย เลยตบมุกไปด้วยการเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่’ ซะเลย
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
ดูท่าดีนจะชอบใจที่ถูกเรียกพี่ไม่น้อย อายุมากกว่าเขาแค่ไม่กี่ปีแท้ ๆ ซ้ำยังมีบางมุมที่ดูเป็นเด็กยิ่งกว่าเขาเสียอีก แม้บางครั้งก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่า แต่แมคเคนซีจะไม่เรียกอีกฝ่ายว่าพี่ตลอดไปหรอก เรียกว่าที่รักยังดีเสียกว่า
“หือ…อะไรนะ หมางับนิ้ว ?”
เขามองของเล่นในมือดีนแล้วก็สงสัย เจ้าหมาอ้าปากกว้างนี่มันจะงับนิ้วได้ยังไง
“โอ๊ะ !”
พอลองเอานิ้วไปจิ้มในปากด้วยความสงสัย ฟันซี่นึงที่นิ้ววางพาดผ่านอยู่ก็จมลงไปด้านล่าง
“เอ่อ…ฟันมันลงไปแบบนี้ ฉันไม่ได้ทำพังใช่ไหม”
หันมาถามดีนหน้าเจื่อน
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“ไม่เคย พ่อฉันไม่ค่อยซื้อของเล่นให้เท่าไหร่ โอ้ !”
ยังพูดไม่ทันจบดีก็ต้องร้องลั่น เมื่อเจ้าหมาที่ดีนจิ้มนิ้วลงไปตรงงับนิ้วเจ้าตัวดัง ปัง ! จนเขารู้สึกเจ็บแทน
“ก็น่าสนุกดี…แต่ว่านายเจ็บนิ้วหรือเปล่า”
จับมืออีกฝ่ายมาดูก็เห็นว่านิ้วที่เอาไปแหย่ปากของเล่นมีรอยแดงน้อย ๆ ยังยิ้มแป้นได้ขนาดนั้นน่าจะไม่เป็นไร
“ของฝากงั้นเหรอ ก็ดีเหมือนกัน งั้นขอเดินกลับไปดูหน่อย”
หลังจากซื้อของที่ร้านขนมและของเล่นโบราณเสร็จพวกเขาก็เดินดูของอีกรอบ ในที่สุดแมคเคนซีก็ได้ผ้าพันคอลายผ้าพื้นเมืองให้พ่อ หมวกให้จูลี่ และกำไรเงินเส้นบางลวดลายงดงามให้ชาร์ล็อต
“เอ่อ…นายว่าพวกเทพจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากันไหม”
แมคเคนซีถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจนักขณะที่มือยังจับชุดเดรสสีเข้มลายดอกไม้ผ้านุ่มน่าจะสวมใส่สบายไว้อยู่ แม้ว่าเขาจะเคยเห็นเทพีแห่งความงามสวมชุดเดรสสีแดงและรองเท้าปราด้ามากับตาแล้วก็ตาม แต่แม่ของเขานี่สิ…เธอจะรักสวยรักงามไหม หรืออีกแง่นึงก็คือเธอจะชอบของที่เขาซื้อไปฝากหรือเปล่า
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
“จำได้ แต่ฉันไม่รู้ว่าเทพีเฮคาที เอ่อ…แม่ จะชอบแต่งตัวเหมือนเทพีอะโฟร์ไดท์ไหม บางทีเธออาจจะมีเสื้อผ้าแบบเดียวกันเป็นสิบชุดก็ได้”
จะเรียกแม่ก็ยังไม่ชินปาก แต่พอเรียกชื่อเต็มดีนอาจคิดว่าเขาห่างเหินจากผู้ให้กำเนิดอีก งั้นก็เรียกแม่ก็ได้
“อื้ม…เอาชุดนี้ งั้นฝากนายเลือกเครื่องประดับด้วยนะ”
แมคเคนซีพยักหน้า คนรักของเขาเองก็เทสดีในด้านการแต่งตัวเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าดีนจะต้องเลือกเครื่องประดับที่เหมาะสมกับชุดนี้ได้แน่
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
แมคเคนซีดูสร้อยคอที่ดีนเลือกมา เมื่อเทียบกับชุดแล้วก็ดูเข้ากันดี หากสวมคู่กันแล้วน่าจะดูเรียบหรู ไม่แฟชั่นจ๋าจนเกินไป
“โอเคเลย นายนี่ก็เลือกของให้ผู้หญิงเก่งเหมือนกันนี่นา”
แกล้งแซวไปเล็กน้อยแล้วไปจ่ายเงินกัน จากนั้นก็ได้เวลาเดินทางออกจากจังหวัดอยุธยามาที่กรุงเทพซึ่งเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงได้รถติดนัก จากที่ขับรถกินลมชมธรรมชาติสบาย ๆ มาก่อนหน้านี้ พอมาเจอรถติดที่กรุงเทพก็แอบเซ็งเหมือนกัน แต่ก็คงเป็นปกติทั่วไปของเมืองหลวงล่ะมั้ง กว่าจะมาถึงโรงแรมก็เป็นเวลาเย็นแล้ว
“พวกเราซื้อของกันเยอะขนาดนี้เลย ? ให้ตายสิจะขนกลับกันไปยังไง”
พอเห็นปริมาณของที่ซื้อมาไม่ว่าจะเป็นของส่วนตัวหรือของฝากก็ดี พอรวม ๆ กันแล้วมันเยอะแยะไปหมด ดูท่าว่าคืนนี้เขาคงต้องจัดระเบียบข้าวของให้ดีเพื่อที่พรุ่งนี้จะได้สะดวกแก่การเดินทางซะแล้ว จากนั้นพวกเขาก็เอารถที่เช่ามาไปคืน ใจจริงอยากจะเช่าจนจบทริปนี้ไปเลยด้วยซ้ำ แต่พอเจอรถติดเข้าไปก็คิดว่าเดินทางด้วยรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินอาจจะรวดเร็วกว่า
“นั่นสิ มีรถก็สะดวกกว่าจริง แต่ที่นี่รถติดชะมัด ไม่เหมือนวันก่อน ๆ เลย พวกมอนสเตอร์ไม่มีก็ดีแล้ว แบบนี้สิถึงจะเป็นการเที่ยวที่แท้จริง”
เมื่อกลับขึ้นมาบนห้องแมคเคนซีก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหนานุ่ม กรุงเทพก็มีดีอยู่อย่างคือโรงแรมที่ค่อนข้างได้มาตรฐาน อย่างน้อยคืนสุดท้ายของทริปเที่ยวประเทศไทยพวกเขาก็ได้นอนหลับสบายในห้องกว้าง ๆ และมีแอร์เย็นฉ่ำ
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]
แมคเคนซีพยักหน้าเห็นด้วยเรื่องการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในวันพรุ่งนี้ พวกสัมภาระถ้าแพ็ครวมกันดี ๆ ก็ไม่น่าจะหอบหิ้วลำบากอะไร
“ก็ได้ งั้นวันนี้ลองเซิร์ทดูก่อนว่าจะไปห้างไหนดี”
เมื่อมีโปรแกรมเพิ่มขึ้นมาก็คงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วย พรุ่งนี้ค่อยมาตกลงกันอีกที
“อืม…แน่นอน ฉันไม่ปล่อยให้นายหนีไปคนเดียวแน่”
ริมฝีปากอิ่มยิ้มเล็กน้อย ขยับตัวมาหนุนศีรษะกับตักคนรัก วันนี้ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนที่การเดินทางวันสุดท้ายของภารกิจจะมาถึง หลังจากอ้อนแฟนเสร็จก็ได้เวลาเคลียร์สัมภาระในกระเป๋าเสียที ดูเหมือนว่าในกระเป๋าของแมคเคนซีจะเต็มไปด้วยแร่สัมฤทธิ์ ดีนจึงแนะนำว่าให้บริจาคโดยส่งเป็นพัสดุกลับไปที่ค่ายล่วงหน้าก่อน ดีที่แดนนี่ผู้เป็นแซเทอร์ของเขาให้ม้วนเทปเฮอร์มีสมาก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาทำภารกิจ ซึ่งก็ไม่นึกว่าจะได้ใช้จริง ๆ เมื่อพวกเขาไปซื้อกล่องกระดาษที่ร้านขายของสำหรับส่งพัสดุที่อยู่ใกล้โรงแรมแล้วก็ได้เวลาแพ็คของส่งกลับไปยังค่ายฮาร์ฟบลัดเและพักผ่อนกันต่อ
https://i.imgur.com/ZP7G7iY.pngส่งพัสดุให้คุณดี (เทพไดโอนีซุส)ฝากบริจาคของเข้าโรงหลอมเหล็กค่ายรายการบริจาค: หินสัมฤทธิ์วิเศษ 60 ชิ้นรางวัล: +50 พลังใจ , 15EXP , 5 คะแนนบ้าน- 12 ดรักม่า ต่อ 60 หน่วย-บริจาคทรัพยากรให้ค่าย +24 คะแนนบ้าน ต่อ 60 หน่วย- 20 เกียรติยศ และ 15 ความกล้าหาญ
@God
Mackenzie
โพสต์ 2024-9-30 08:24:32
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2024-9-30 08:26
39. Goodbye ThailandMhttps://i.imgur.com/ZP7G7iY.png
หลังจากได้นอนพักผ่อนชาร์จแบตเต็มที่แล้ว วันนี้พวกเขาก็พร้อมที่จะไปทัวร์ ‘กรุงเทพมหานคร’ ซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้ายของภารกิจท่องเที่ยวไทยแลนด์กัน
“ตกลงว่าเราจะไปห้างไหนกันดี นายตัดสินใจหรือยัง”
แมคเคนซีถามขณะที่กำลังทานมื้อเช้า ในที่สุดพวกเขาก็ได้ทานอาหารเช้าแบบเบรคฟาสต์สไตล์ยุโรปที่คิดถึงกันเสียที แถมยังเป็นบุฟเฟ่ต์เสียด้วย
@Dean
แมคเคนซีฟังแผนการของอีกฝ่ายพลางหั่นไส้กรอกให้พอดีคำแล้วทานพร้อมกับไข่ดาวและขนมปังปิ้งที่หั่นไว้ก่อนหน้า ใบหน้าได้รูปผงกขึ้นลงช้า ๆ เป็นครั้งคราวก่อนจะหยิบผ้ากันเปื้อนมาเช็ดปากเมื่อดีนพูดจบ
“งั้นก็เอาตามแผนหลังที่นายเสนอ หวังว่าแถวสยามจะมีที่ฝากของนะ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นอาหารที่อีกฝ่ายไปตักมาพร่องไปกว่าครึ่ง แต่เขาคิดว่าดีนน่าจะยังไม่จบที่จานนี้แน่ ๆ ส่วนเขาเองก็คิดว่าจะไปตักซีเรียลมาทานต่ออีกหน่อย
@Dean
เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อย พวกเขาก็กลับมาเอาสัมภาระที่ห้องและเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า จากที่เซิร์ทดูแผนผังรถไฟฟ้าของไทยแล้วดูเหมือนว่าจะไม่น่าปวดหัวเท่าที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นหลัก เริ่มจากต้องขึ้นขบวนแรกที่สถานีดอนเมืองก่อนแล้วค่อยไปเปลี่ยนขบวนที่สถานีบางซื่อและสถานีห้าแยกลาดพร้าวตามลำดับ อาจเป็นเพราะพวกเขาเดินทางในเวลาที่ผู้คนทำงานกันหมดแล้ว ภายในขบวนรถไฟฟ้าจึงค่อนข้างว่างและมีที่ให้นั่งจนไม่ต้องแบกกระเป๋าสัมภาระให้เมื่อย และในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงสถานีสยามซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง
“เอาของไปเก็บกันก่อนดีกว่า ตรงห้างสยามพารากอนมีล็อคเกอร์อยู่”
หลังจากเซิร์ทข้อมูลขณะที่นั่งรถไฟฟ้าก็รู้ว่าสยามมีจุดบริการล็อคเกอร์อยู่ในห้างหลายแห่งแต่ที่ใกล้ที่สุดน่าจะเป็นจุดที่อยู่ตรงห้างที่ชื่อว่า ‘ สยามพารากอน’ ซึ่งมีทางเดินเชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้ากับห้างสยามเซ็นเตอร์
https://imgur.com/0yJIYc6.png
Credit: https://www.istockphoto.com/th/search/2/image-film?phrase=สยามพารากอน
เหมือนว่าที่นี่จะเป็นแลนด์มาร์คใจกลางกรุงเทพจริง ๆ เมื่อออกจากสถานีรถไฟฟ้ามายังลานกว้างของห้างก็เห็นผู้คนมากมายทั้งคนไทยและต่างประเทศเดินกันขวักไขว่ ตัวอาคารของห้างสยามพารากอนเองก็ดูใหญ่โตหรูหรา ภายในห้างคงมีร้านน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
“เราเริ่มจากห้างสยามพารากอนกันก่อนเลยไหม ไหน ๆ ก็มาฝากของตรงนี้แล้ว”
เขาหันมาถามดีนหลังจากเอาสัมภาระใส่ล็อคเกอร์เรียบร้อย
@Dean
“นายจะเอาห้างร้อยกว่าปีมาเปรียบเทียบกับห้างสมัยใหม่ได้ยังไง”
แมเคนซีหัวเราะเล็กน้อย นึกถึงห้างแมคซี่ในนิวยอร์กที่เป็นอาคารสมัยเก่าแล้วหากจะเปรียบกับห้างสยามพารากอนที่สร้างมาไม่ถึงสองทศวรรษก็ดูจะน่าสงสารไปหน่อย ภายในห้างด้านหน้าทางเข้าเป็นแบบเพดานโปร่ง หากไม่ติดว่าคนเยอะก็คงจะเดินได้สบายกว่านี้
“คนไทยชอบกินอาหารญี่ปุ่นกันงั้นเหรอ”
พอดูร้านรวงภายในห้างก็จริงอย่างที่ดีนว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นมากมายหลายร้านกินพื้นที่ส่วนใหญ่ ที่มากสุดคงจะเป็นซูชิ
@Dean
“ได้ ระหว่างนี้นายก็เล็งร้านที่อยากกินไว้ด้วยเลยแล้วกัน”
ถ้าเป็นอาหารญี่ปุ่นละก็คงไม่เผ็ดเท่าไหร่หากไม่เผลอไปทานวาซาบิเข้า เขาเองที่ไม่มีอาหารที่ชอบเป็นพิเศษจึงให้ดีนเป็นคนเลือกร้านเหมือนเดิม
“ก็ชอบนะ แต่ฉันชอบมอเตอร์ไซต์มากกว่า มันเร็วดี”
แมคเคนซีมองรถยี่ห้อหรู รูปทรงของรถพวกนี้สวยงามก็จริง แต่เขาดันคิดถึงแมคกี้มอเตอร์ไซต์คู่ใจมากกว่า
“แล้วนายมีรถที่ชอบเป็นพิเศษไหม”
@Dean
“ยิ่งเร็วก็ยิ่งสบายใจ อย่างกับบินได้เลย นายไม่คิดงั้นเหรอ”
บอกพลางเดินไปดูรถสอร์ตคันที่ดีนชี้ไปด้วย ไม่ว่าจะรูปทรงหรือการตกแต่งภายใน ถือว่าตาถึงทีเดียว หากเขาเกิดอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการขี่มอเตอร์ไซต์เมื่อไหร่ รถสปอร์ตเท่ ๆ สักคันก็เป็นตัวเลือกที่ดี
“อา ใช่…สวยมาก”
แววตาของแมคเคนซีเป็นประกายขึ้นมาเมื่อเห็นดูคาติ ดูท่าว่าจะสนใจมากกว่ารถสปอร์ตเมื่อครู่เสียอีก
“แต่มันดูไม่เหมาะกับนั่งสองคนเท่าไหร่”
ถึงรูปทรงจะสวยแต่ตอนนี้เขามีคนรักแล้ว หากจะซื้อรถสักคันก็ต้องเป็นแบบที่สามารถไปด้วยกันทั้งสองคนได้
“นายว่าแมคกี้เท่ไหม ฉันว่าถ้าออกจากค่ายแล้วอาจจะซื้อแมคกี้อีกคัน…อาจจะเป็นรุ่นใหม่กว่าเดิม”
@Dean
“บ้า ฉันไม่ทำให้นายตายหรอก เชื่อมือฉันสิ”
ถึงจะเป็นคนขับรถเร็วแต่แมคเคนซีก็มั่นใจว่าจะไม่ทำให้คนที่มาด้วยกันต้องประสบอุบัติเหตุแน่นอน ยกเว้นจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอย่างตอนที่เจ้าอัลกูลนั่นทำจนเขารถคว่ำไม่เป็นท่า
“อะไร อย่าบอกนะว่านายอิจฉาแมคกี้”
ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ ปกติเขาไม่เคยเห็นดีนแสดงท่าทีเช่นนี้มาก่อน ถ้าจะคิดเข้าข้างตนเองว่าอีกฝ่ายกำลัง ‘หึงหวง’ เขาอยู่ได้ไหม…แต่ว่ากับมอเตอร์ไซต์เนี่ยนะ ?
“อยากได้นาฬิกาเรือนใหม่เหรอ”
เรียวแขนยกขึ้นกอดคอคนรักแล้วดึงเข้าหาตัว เมื่อครู่ที่อยู่ในช็อปลองจินส์ดีนค่อนข้างใช้เวลานานทีเดียว อยากจะซื้อให้สักเรือนอยู่หรอก แต่ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะเกรงใจจนไม่ยอมรับซะก่อน
@Dean
แมคเคนซีมองนาฬิกาโนเนมบนข้อมือดีนแล้วก็เพิ่งคิดได้ว่า เขาไม่เห็นอีกฝ่ายใส่นาฬิกาลองจินส์เรือนโปรดมาได้สักพักแล้ว แต่ก็จริงอย่างที่คนรักบอก ตั้งแต่มาอยู่ที่ค่าย การแต่งตัวของเขาเองก็เน้นสวมใส่สบาย เคลื่อนไหวสะดวกกว่าแต่ก่อนเยอะ
“แล้วถ้าเป็นเครื่องประดับอย่างอื่นล่ะ อย่างเช่นว่า สร้อยคออีกเส้นอะไรแบบนี้”
ดวงตาสีฮาเซลเหลือบมองสร้อยคอที่ดีนสวมอยู่ ถ้าจำไม่ผิดมันคือกลีบดอกทิวลิปจากช่อดอกไม้ที่เขาซื้อให้อีกฝ่ายเมื่อตอนไปทำภารกิจที่ปารีสด้วยกัน
“ข้าวหมูทอด…ที่เรียกว่าทงคัตสึหรือเปล่า ฉันเคยกินแบบเป็นแซนด์วิชตอนไปทำภารกิจที่ญี่ปุ่น”
ถามพลางเดินไปยังร้านที่ว่าด้วย
“ฉันมีเรื่องอยากถามนายสักหน่อย…สร้อยนั่น ทำไมนายถึงเอากลีบดอกทิวลิปมาทำสร้อยล่ะ”
ถึงจะสงสัยมานานแต่ก็ไม่เคยถาม วันนี้ได้โอกาสเลยต้องถามออกไปสักที
@Dean
“คิดมาตั้งแต่วันที่นายถามแล้ว แต่ยังหาแบบที่ถูกใจให้ไม่ได้”
เขาใช้เวลาเปิดแคตาล็อคตามเว็บไซต์เครื่องประดับยี่ห้อดังมากมายเมื่อมีเวลาไปใช้อินเทอร์เน็ตที่บ้านเทพเฮอร์มีส แต่ก็ยังตัดสินใจเลือกไม่ได้แม้ว่าผู้ชายหุ่นนายแบบอย่างดีนจะสวมใส่เครื่องประดับแบบไหนก็ดูเหมาะสมไปหมดก็ตาม ส่วนนึงก็เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะถูกใจหรือเปล่า ให้ตายสิ…นี่เขาคิดมากอะไรขนาดนั้นกันนะ
“……งั้นเหรอ แค่ชอบสีส้มแน่นะ”
พอได้ยินแบบนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย
“นึกว่าเพราะเป็นของที่ฉันให้ซะอีก”
@Dean
“เป็นเจ้าหมาที่ไม่เลือกปลอกคอซะด้วย”
พอโดนจิ้มแก้มเข้าพร้อมได้ยินคำตอบถัดไปก็ใจฟูจนถึงกับยิ้มอรุ่มมม~กันเลยทีเดียว ถ้าดีนบอกแค่ว่าชอบสีส้มแค่นั้นจริง ๆ การเที่ยวกรุงเทพถัดไปจากนี้คงกร่อยแน่ ๆ
“อาหารเช้านายย่อยหมดแล้วหรือไง”
ถึงจะไม่เข้าใจว่าระบบเผาผลาญดีนจะดีอะไรขนาดนั้นแต่แมคเคนซีก็ยอมเดินเข้าร้านไปตามแรงแต่โดยดี เมื่อมานั่งที่โต๊ะแล้วแมคเคนซีก็เปิดเมนูดูเป็นอย่างแรก
“สมกับเป็นร้านข้าวหมูทอด มีแต่ข้าวหมูทอดทั้งนั้นเลย”
พึมพำพลางเปิดไล่ดูไปเรื่อย ๆ แต่พอได้ยินอีกฝ่ายถามขึ้นมาจึงละสายตาจากเมนูขึ้นดู
“นี่น่ะเหรอ…เหมือนว่าตอนฉันไปกินราเมนกับแดนนี่ที่ญี่ปุ่น ฉันเห็นพวกคนญี่ปุ่นเอาผ้านี่มาเช็ดมือกันแบบนี้”
เมื่อลองทบทวนความทรงจำดูแล้วก็หยิบมาขนหนูผืนเล็กอุ่น ๆ มาเช็ดมือให้ดู ด้วยอุณหภูมิเท่านี้มันทำให้เขารู้สึกสบายมือมากทีเดียว
@Dean
“ไส้กรอกกับเบคอนพูน ๆ บนจานนั่นคือไม่เยอะเหรอ”
ยังไม่พูดรวมถึงอย่างอื่นที่ทานเข้าไปอีกนะ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าอีกฝ่ายทานไหวเขาก็โอเค
หลังจากที่ดีนเลือกเมนูได้แล้ว แมคเคนซีก็ดูต่อบ้าง ถึงจะมีของทอดอย่างอื่นด้วยแต่ดูท่าว่าของขึ้นชื่อของร้านคงจะเป็นหมูทอด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีหลายเมนูขนาดนี้ สุดท้ายแมคเคนซีจึงสั่งเมนูทงคัตสึต้นตำรับขนาดใหญ่มาชุดนึง
“โอ้…พระเจ้า ฉันไม่นึกว่ามันจะเยอะขนาดนี้”
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟก็ถึงกับตาโตกับปริมาณอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหมูทอดชิ้นใหญ่ และข้าวกับกะหล่ำปลีหั่นฝอยพูนชาม
@Dean
ฟังพนักงานแนะนำแล้วก็ลองบดเมล็ดงาดูบ้าง ดูทรงแล้วของเขาน่าจะไม่ละเอียดเท่าของดีนที่บดจริงจัง ไม่แน่ว่าอาจจะละเอียดจนกลายเป็นงาผงไปแล้ว แต่สิ่งที่สังเกตได้ก็คือเมื่อบดแล้วได้กลิ่นหอมของงาชัดเจนมากขึ้น
“มีแค่อย่างละชิ้นเองนี่นา ส่วนหมูทอดฉันก็มีเหมือนกัน นายกินก่อนเถอะ ถ้ามีอันไหนที่ไม่ชอบค่อยเอามาให้ฉัน”
ว่าจะบอกให้ดีนช่วยทานไว้ก่อนล่วงหน้า แต่ปริมาณอาหารของอีกฝ่ายก็ใช่ย่อย แมคเคนซีเลยตัดสินใจทานไปก่อน ถ้าไม่หมดค่อยว่ากันอีกที
“โอ๊ะ หมูทอดนุ่มดีแฮะ เนื้อหมูยังฉ่ำอยู่เลย”
เมื่อลองชิมหมูทอดคำแรกก็ถึงกับตาโตอีกรอบ แต่คราวนี้เป็นเพราะรสชาติที่อร่อยเหลือเชื่อ ทั้งที่เป็นแค่หมูชุบแป้งทอดแท้ ๆ แต่กลับทอดออกมาได้ดีเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นความกรอบนอกนุ่มในและความจุ๊ยซี่ของเนื้อหมูมันช่างกลมกล่อมลงตัวไปหมด ถ้าไม่ติดว่าต้องทานข้าวด้วย เขาน่าจะทานได้จนหมดจานแม้มันจะดูเยอะก็ตาม
@Dean
“งั้นก็กินให้หมดนั่นแหละ”
คำตอบไม่ผิดจากที่คิดเท่าไหร่นัก ยิ่งเห็นสีหน้าฟินเวอร์ของดีนตอนทานเข้าไปก็รู้แล้วว่าอาหารมื้อนี้อร่อยถูกใจแค่ไหน
“หืม…โครเก้ต์งั้นเหรอ”
แมคเคนซีมองโครเก้ต์ที่คนรักป้อนตรงหน้า อยู่ ๆ ก็ดันนึกพิเรนท์เกิดอยากแกล้งขึ้นมาจึงงับเข้าไปเกือบหมดชิ้นเหลือเพียงคำเล็กคำน้อยให้อีกฝ่าย
“อื้มมมม…อะอ่อยอ้าก (อร่อยมาก)”
ถึงจะเคี้ยวแก้มตุ่ยริมฝีปากมีเกล็ดขนมปังติดอยู่ประปรายแต่ก็ยังพูดไปด้วยทั้งอย่างนั้น หมดมาดผู้ดีอังกฤษกันไปเลยทีเดียว
@Dean
“ชิมแค่นิดเดียวจะไปรู้รสอะไร เฮ้ ! นั่นของฉัน !”
ถึงจะร้องห้ามก็ไม่ทันซะแล้ว ที่น่าตกใจกว่านั้นคือหมอนั่นกินหมูทอดชิ้นใหญ่สองชิ้นในคำเดียวได้ยังไง
“เดี๋ยวก็ได้ติดคอกันพอดี โครเก้ต์หมดแล้วก็สั่งใหม่ได้ เจ้าบ้า”
เลื่อนแก้วน้ำให้ดื่มกันติดคอ แต่สีหน้าของดีนตอนนี้ก็ชวนให้หัวเราะจริง ๆ
@Dean
มองท่าทางงอน ๆ ของอีกฝ่ายยิ้ม ๆ ไม่นึกเลยว่าชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี นอกจากตอนเมาที่เหมือนเด็กสามขวบแล้วก็ยังมีมุมเด็ก ๆ ในเวลานี้ด้วยเหมือนกัน
“ทรยศอะไร ต้องเรียกว่าสนองน้ำใจนายถึงจะถูก นายให้ชิมฉันก็ชิม แถมยังเหลือให้นายอย่างที่บอกด้วย”
ตีหน้าจริงจังบอก พอมองจานหมูทอดของตนเองที่พอหายไปสองชิ้นก็ดูพร่องไปเยอะเลยถอนหายใจบาง ๆ แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน แมคเคนซีเองก็เกรงว่าจะทานไม่หมดอยู่แล้ว พอเป็นแบบนี้เลยไม่ต้องเอ่ยปากขอร้องให้เสียเวลา
“ชิ้นเดียวจะพอเหรอ หมดจานเลยก็ได้นะ”
เห็นดีนคีบโครเก้ต์ที่สั่งมาใหม่ไปแค่ชิ้นเดียวก็แกล้งแซว
“หรือว่าสองชิ้นนี้ให้ฉัน ?”
@Dean
“หวงของกินเป็นเด็กไปได้น่า”
ยังไม่หายขบขันกับท่าทางอีกฝ่าย คงเพราะเป็นของชอบด้วยล่ะมั้งเลยหวงมากกว่าปกติ ในที่สุดพวกเขาก็จัดการทุกอย่างบนโต๊ะจนราบคาบ จากที่คิดว่าจะทานไม่หมดกลับหมดเกลี้ยงแม้แต่กะหล่ำปลีฝอยก็ไม่เหลือ
“เฮ้อ…อิ่มชะมัด นายอยากเดินเล่นแถวนี้ต่อไหม หรือจะไปที่อื่นต่อกันเลยดี”
จะว่าไปนี่ก็มื้อกลางวันแล้ว ถ้าตามแพลนที่ดีนวางไว้ พวกเขายังต้องไปอีกสามที่
@Dean
“อืม…มันช่วงบ่ายแล้วนี่สิ นอกจากว่าพวกเราจะเถลไถลกลับพรุ่งนี้กันแทน”
หลังออกมาจากร้านอาหารก็มาหาที่คุยกันก่อน ดูท่าดีนจะยังอยากไปเที่ยวอีกหลายที่ เขาหยิบมือถือมาลองเซิร์ทสถานที่ล่าสุดที่ดีนเพิ่งเสนอมา
“ภูเขาทองอยู่ไม่ไกลจากหัวลำโพงมาก งั้นไปจากที่ไกลที่สุดก่อนไหมแล้วค่อยมาตรงใกล้ ๆ”
ซึ่งหากจะไปตามแผนนี้ก็คงต้องไปวัดโพธิ์ก่อน แล้วไปวัดพระแก้ว ภูเขาทอง เยาวราช และหัวลำโพงตามลำดับ
“ส่วนจะเดินเล่นที่นี่ต่อไหม ฉันให้นายตัดสินใจแล้วกัน”
เพราะอีกฝ่ายบอกว่าไม่เป็นไรก็ได้ แต่แมคเคนซีก็คิดว่าดีนอาจจะเสียดายอยู่บ้าง เลยอยากให้เป็นคนเลือกเองน่าจะดีกว่า
@Dean
“ไม่รีบ กลับค่ายคราวนี้ไม่รู้จะมีภารกิจอีกเมื่อไหร่ เรื่องค่าใช้จ่ายช่างเถอะ ถ้าฉันไม่ใช้เน็ตก็ไม่รู้หรอกว่าพ่อส่งข้อความมาด่าอะไรบ้าง”
นึกถึงพ่อที่เห็นบิลยอดบัตรเครดิตแล้วหัวเสียก็หลุดขำ แต่ที่จริงแล้วทริปนี้เขาใช้บัตรกดเงินสดมาใช้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น อาจเป็นเพราะเมื่อเทียบกันแล้วค่าเงินของไทยนั้นถูกกว่าของอเมริกา ลำพังเพียงแค่รายได้และทิปที่มาจากงานบาร์เทนเดอร์ที่เขาเก็บออมไว้ก็เพียงพอที่จะใช้จ่ายในการท่องเที่ยวนี้ทั้งทริป
“ฉันว่าเราเอาของไปไว้ที่หัวลำโพงก่อนดีกว่า จะได้เที่ยวสบาย ๆ ไม่ต้องหอบหิ้วกันเยอะแยะ”
เมื่อดีนสรุปแล้วว่าจะไม่เดินเล่นที่นี่ต่อ พวกเขาก็พากันนั่งรถไฟฟ้าไปต่อรถไฟใต้ดินเพื่อไปยังสถานีหัวลำโพงเพื่อเอาสัมภาระไปฝากก่อนจะนั่งแท็กซี่ต่อไปยังวัดโพธิ์
เมื่อมาถึงวัดโพธิ์แล้วก็เสียค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติกันไปตามระเบียบ ภายในวัดกว้างขวางและมีสถาปัตยกรรมทางศาสนาและสิ่งต่าง ๆ ให้เดินชมมากมาย อาทิเช่น พระวิหารพระพุทธไสยาส อุโบสถที่มีพระพุทธรูปนามว่า ‘พระพุทธเทวปฏิมากร’ ประดิษฐานอยู่ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาลซึ่งเป็นเจดีย์ประจำพระองค์ของกษัตริย์สี่พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นราชวงศ์ปัจจุบันของประเทศไทย รูปปั้นยักษ์วัดโพธิ์ที่มีตำนานเล่าขานมาช้านาน และอีกสิ่งที่ขึ้นชื่อของวัดโพธิ์ก็คือ ‘การนวดแผนโบราณ’
https://imgur.com/xJ5M6M9.png
Credit:https://www.matichon.co.th/local/news_1133257https://imgur.com/OvJ96LD.png
Credit: https://www.watpho.com/th/massage-school
@Dean
“เกรงใจอะไรกัน ฉันใช้เงินจากบัตรเครดิตแค่ส่วนนึง นอกนั้นก็ใช้เงินเก็บจากงานที่คลับ บางคืนฉันได้ทิปเยอะกว่าเงินเดือนซะอีก”
สุดท้ายก็ต้องบอกความจริงไปเพื่อให้ดีนสบายใจ ถึงจะเป็นวันท้าย ๆ ของทริปแล้วก็ตาม
“ถ้านายว่าดี ลองดูสักหน่อยก็ได้”
แมคเคนซีไม่เคยนวดมาก่อน อย่างดีก็แค่เข้าสปาไปนวดอโรม่าและบำรุงผิวพรรรณบ้าง ก็อย่างว่า อาชีพของเขาจำเป็นต้องใช้หน้าตาและความงดงามเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน ถึงจะชงเครื่องดื่มได้ขั้นเทพแค่ไหน แต่ถ้าหน้าตาบ้าน ๆ ไม่ดูแลตัวเอง ลูกค้าที่ไหนอยากจะเข้าหา เขามองผู้มารับบริการนวดแผนโบราณทั้งที่เป็นคนไทยและต่างประเทศ หน้าตาบางคนก็ดูผ่อนคลาย แต่บางคนก็ดูเจ็บปวดยังไงไม่รู้ หลังจากที่ติดต่อเจ้าหน้าที่ที่เรียกว่า ‘หมอนวดแผนไทย’ ว่าต้องการใช้บริการนวดแล้ว พวกเขาก็เดินตามเจ้าหน้าที่ไปนอนตรงฟูกที่อยู่ข้าง ๆ กัน รอไม่นานหมอที่รับหน้าที่นวดให้พวกเขาก็มา
“ปวดตรงไหนเป็นพิเศษคะ”
หมอนวดหญิงที่ดูมีอายุถามเขาด้วยภาษาอังกฤษง่าย ๆ แมคเคนซีเลยเลือกใช้ศัพท์ง่าย ๆ เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจไปด้วย
“เอ่อ…ขา ไหล่ แล้วก็หลังครับ”
ขับรถมาหลายวันก็ย่อมต้องเมื่อยเนื้อตัวเป็นธรรมดา หมอนวดเพียงพยักหน้าเข้าใจแล้วก็เริ่มนวดให้โดยเริ่มจากที่ไหล่
“โอ้ ! โอ๊ย ! จ..เจ็บ !”
แมคเคนซีร้องเสียงหลงเมื่อเธอเริ่มใช้นิ้วกดตรงกล้ามเนื้อที่ไหล่และจับไหล่เขาดัดไปด้านหลัง มันทั้งรู้สึกตึงและเจ็บในเวลาเดียวกัน ทั้งยังได้ยินเสียงกระดูกลั่นกร๊อบแกร๊บด้วย
“เส้นมันยึดน่ะพ่อหนุ่ม ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี นี่มันนวดแผนไทยหรือการทรมานร่างกายกันแน่ ที่ดีนบอกว่าดีนี่แกล้งเขาหรือยังไง แมคเคนซีคิดพลางเหลือบตามองไปยังคนรักที่นอนนวดอยู่ฟูกข้าง ๆ กันด้วยสีหน้าเจ็บปวด
@Dean
เห็นดีนที่นอนอย่างสบายอารมณ์ไม่ร้องสักแอะแมคเคนซีก็ได้แต่ขมวดคิ้ว นี่พวกเขานวดแผนโบราณคอร์สเดียวกันแน่หรือเปล่า ไม่แน่ว่าคนที่นวดให้เขาจะมือหนักเกินไป
“นายไม่เจ็บเลยเหรอ”
สุดท้ายก็ทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้จึงถามออกไป ระหว่างหว่างนั้นป้าหมอนวดก็ค่อย ๆ ไล่นวดไปตามสะบัก หลังและตามเรียวขา ยอมรับว่าเจ็บไปทุกจุดจริง ๆ แต่พอเริ่มทนแรงมือของเธอได้ก็เริ่มรู้สึกสบายตัวจนผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็……
“พ่อหนุ่มตื่น ป้านวดเสร็จแล้ว”
แมคเคนซีงัวเงียตื่นจากเสียงปลุกแล้วขยี้ตาไล่ความง่วง พอหันไปมองก็เห็นป้ายิ้มอย่างขบขัน
“เรียบร้อยแล้วเหรอ ขอบคุณครับ”
หลังจากที่จ่ายค่านวดและทิปให้หมอนวดของทั้งคู่แล้วก็ลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมา
“นึกว่าจะแย่ซะแล้ว แต่พอนวดเสร็จแล้วสบายตัวชะมัดเลย”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าร่างกายที่หนักอึ้งจากการเมื่อยล้ามาหลายวันเบาลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะปวดเนื้อตัวจากการนวดอยู่บ้างแต่ก็ขยับร่างกายได้สะดวกขึ้น
@Dean
“ดีนะ เหมือนตัวจะเบาขึ้น ตรงที่เมื่อย ๆ ก็ดีขึ้นเลย”
แมคเคนซีลองหมุนหัวไหล่ไปมา ก่อนหน้านี้ที่ฝึกใช้ดาบกับโล่ก็ทำให้แขนกับไหล่เขารับน้ำหนักไม่น้อย พอมาขับรถก็ยิ่งต้องใช้งานหนักเข้าไปอีก ไม่น่าเชื่อว่าแค่นวดสองชั่วโมงจะทำให้ดีขึ้นขนาดนี้
“ขอบคุณ นายดูเชี่ยวชาญนะ”
แมคเคนซีรับยาแก้ปวดมาทาน เขายังไม่อยากระบมไปทั้งตัวอย่างที่ดีนบอก
“นี่ก็เดินจนทั่วแล้ว เราไปที่ต่อไปกันเลยไหม”
@Dean
“ของหนัก ? หมายถึงพวกขี้ยาที่สถานีรถไฟใต้ดินน่ะเหรอ”
เหตุการณ์ที่ชวนนึกถึงคำว่าของหนักได้ก็คงจะมีแค่เรื่องนั้น จำได้ว่าตอนนั้นดีนก็ทานยาแก้ปวดแทบจะเป็นขนม
“โอเค”
เขาพยักหน้ารับเมื่อดีนเอ่ยชวนให้ขึ้นรถสามล้อที่มีชื่อเรียกว่า ‘ตุ๊กตุ๊ก’ ด้วยระยะทางแค่นี้ ราคาน่าจะไม่แพงมาก
“หนึ่งร้อย…วันฮันเดร็ดบาท”
แต่พอถามราคาคนขับแล้วก็ถึงกับอึ้ง จากที่เขาเซิร์ทดูแล้ว ระยะทางระหว่างวัดโพธิ์ไปวัดพระแก้วหากนั่งรถไปใช้เวลาแค่สองถึงสามนาทีเท่านั้น
“เอาไงดี ฉันว่ามันแพงไป”
แมคเคนซีหันมากระซิบกระซาบกับคนรัก ไม่ใช่ว่าจ่ายค่าโดยสารไม่ไหว แต่เขาคิดว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างจะเอาเปรียบนักท่องเที่ยวเกินไป
@Dean
“แต่นายอยากนั่งตุ๊กตุ๊กนี่”
สถานการณ์ตอนนี้เหมือนคนขับตุ๊กตุ๊กจะเป็นต่อ คนขับคนนั้นคงคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า ยังไงพวกเขาที่ไม่มีทางเลือกก็คงต้องยอมขึ้นรถแม้ราคาจะแพงหูฉี่แน่ ๆ แต่เหมือนสวรรค์โปรด เมื่อเจ้าของรถตุ๊กตุ๊กคันที่จอดต่อท้ายอยู่ซึ่งเหมือนจะเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเรียกให้พวกเขาขึ้นรถ
“พี่ชาย มาขึ้นรถผมดีกว่า ไปวัดพระแก้วใช่ไหม ผมคิดยี่สิบบาทพอ”
ได้ยินว่ายี่สิบบาทก็ถึงกับหูผึ่ง ไม่ต้องคิดให้มากความ หนุ่มเดมิก็อดทั้งคู่เปลี่ยนคันรถทันที
“เฮ้ย ! เดี๋ยวไอ้หนุ่ม แบบนี้มันแย่งลูกค้ากันนี่หว่า”
ลุงคนขับตุ๊กตุ๊กนักโก่งราคาดูเหมือนจะไม่ยอม
“ทำไม ก็ลุงไปโก่งราคาเขา ผมคิดราคาแค่นี้แล้วเขาพอใจจะไปกับผม หรือต้องให้ผมไปบอกจ่าอีกไหมว่าลุงโกงค่ารถนักท่องเที่ยว”
คนขับตุ๊กตุ๊กหนุ่มจัดไปชุดใหญ่ไฟกระพริบจนลุงคนนั้นเถียงไม่ออก ในที่สุดพวกเขาก็ได้ขึ้นรถตุ๊กตุ๊กสักที ประสบการณ์การนั่งรถตุ๊กตุ๊กครั้งแรกจะว่ายังไงดี…แม้จะเป็นเวลาไม่นานแต่การที่พวกเขาซึ่งเป็นหนุ่มชาวตะวันตกตัวใหญ่ ๆ มานั่งเบียดกันบนเบาะรถคนเล็กก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดี ติดที่ว่าอากาศค่อนข้างจะร้อนไปสักหน่อย ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที พวกเขาก็มาถึงหน้าทางเข้าวัดพระแก้วแล้ว
“ขอบคุณมากที่ช่วยพวกผม ไม่ต้องทอน”
หลังลงจากรถแมคเคนซีก็จ่ายค่าโดยสาร โดยหยิบแบงค์ร้อยส่งให้ใบนึง
“โอ้ ! ไม่ ๆ ยี่สิบบาทก็พอแล้ว ผมแค่ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าคนไทยเอาเปรียบชาวต่างชาติ”
ชายหนุ่มคนขับรถตุ๊กตุ๊กโบกมือปฏิเสธเป็นการใหญ่ จะว่าไปสกิลการสนทนาภาษาอังกฤษของเขาอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
“รับไว้เถอะ คุณสมควรได้รับมันนะ”
แมคเคนซียิ้มให้เล็กน้อยและยืนยันที่จะให้ค่าโดยสารร้อยนึง แม้จะเสียเงินจำนวนเท่ากับที่คนขับรถตุ๊กตุ๊กคันแรกต้องการแต่เขาก็เต็มใจที่จะจ่าย จนในที่สุดคนขับรถตุ๊กตุ๊กหนุ่มก็จำต้องยอมรับไว้ เขากล่าวขอบคุณก่อนจะไปรับผู้โดยสารคนอื่นต่อ คราวนี้ก็ได้เวลาเดินชมวัดพระแก้วเสียที
https://imgur.com/573XMeR.png
Credit: https://www.matichon.co.th/court-news/news_2553542
@Dean
“น่าจะใช่นะ เหมือนว่าแผนผังโครงสร้างของที่นี่ก็ใช้พระราชวังหลวงของสมัยอยุธยาเป็นต้นแบบ แต่ที่อยุธยาเหลือแต่ซาก เลยไม่รู้เลยว่าสภาพเดิมเป็นยังไง”
หลังจากฟังไกด์เฉพาะกิจอย่างดีนให้ความรู้เกี่ยวกับวัดพระแก้วไปแล้ว พวกเขาก็เดินชมส่วนต่าง ๆ ต่อ เพราะไม่เพียงแค่วัดพระแก้วเท่านั้น แต่ภายในรั้วพื้นที่กว่า 152 ไร่ 2 งานนี้ยังมีพระบรมมหาราชวังซึ่งเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ไทยราชวงศ์ัปัจจุบันตั้งแต่องค์ที่ 1-5 ก่อนจะย้ายไปสร้างพระราชวังที่อีกที่นึงเนื่องจากว่าตรงนี้เมื่อก่อนนั้นมีสิ่งปลูกสร้างที่แออัดและขวางทางลมในหน้าร้อนหากจะจินตนาการว่าพระราชวังเมื่อสมัยอยุธยาเป็นยังไง ที่นี่ก็คงใกล้เคียงที่สุดล่ะมั้ง
เนื่องจากขนาดพื้นที่ที่กว้างขวางเกินไป พวกเขาจึงไม่สามารถเดินชมได้ทั่ว เมื่อเห็นสมควรแก่เวลาแล้วแมคเคนซีและดีนจึงเดินทางไปที่ ‘ภูเขาทอง’ กันต่อ โดยระหว่างทางก็ผ่านแลนด์มาร์คที่สำคัญอีกอย่างของกรุงเทพก็คือ ‘อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย’
https://imgur.com/1ojtFZH.png
Credit: https://th.pngtree.com/freebackground/the-democracy-monument-is-a-public-monument-in-the-centre-of-bangkok-photo_2119241.htm
หลังจากที่มาถึงแล้วก็กระพริบตาปริบ ๆ อเมซิ่งไทยแลนด์ส่งท้าย ในตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่าภูเขาทองนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นภูเขาสีทองหรือว่าเป็นภูเขาที่มีทองเป็นทรัพยากรหลัก (แม้ว่าเมื่อมาถึงกรุงเทพแล้วเขาจะยังไม่เห็นภูเขาสักลูกก็ตาม) แต่แท้จริงแล้วภูเขาทองคือชื่อเรียกเจดีย์ในวัดสระเกศที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งมีความสูงกว่า 59 เมตรหรือเทียบเท่าตึก 19 ชั้นนั่นเอง แต่งานนี้คนที่ชอบพิชิตที่สูงอย่างดีนคงจะอดซุกซน เนื่องจากภูเขาทองจะเปิดให้ขึ้นไปสักการะก็เมื่อถึงเทศกาลสำคัญเท่านั้น
https://imgur.com/wVC3xrr.png
Credit: https://travel.kapook.com/view211226.html
@Dean
“พอย้ายเมืองหลวงแล้วก็คงไม่คิดจะรีโนเวทที่เก่าล่ะมั้ง คนละราชวงศ์กันด้วยนี่นา”
หากว่ากันตามความจริงแล้ว เมืองหลวงเก่าของไทยที่เหลือแต่ซากปรักส่วนหนึ่งก็มาจากการแพ้สงคราม บ้านเมืองถูกทำลายเสียส่วนใหญ่ เพียงแค่บำรุงรักษาให้ยังเป็นโบราณสถานอยู่ก็น่าจะนับว่าเพียงพอแล้ว
“อืม…ก็ดีนะ เย็นแล้วด้วย ไปกินมื้อเย็นที่นั่นกันเลยแล้วกัน”
พอตกเย็นรถก็เริ่มติด พวกเขาจึงเลือกใช้บริการแท็กซี่ที่คิดราคาค่าโดยสารตามมิเตอร์แทนที่จะนั่งตุ๊กตุ๊ก เพราะไม่อยากต้องมาหัวเสียหากโดนโก่งราคาอีก เส้นทางจากวัดสระเกศไปยังเยาวราชก็ไม่ไกลนัก ถึงรถจะติดก็คงไม่เสียค่ารถมากเท่าไหร่
https://imgur.com/xP3QPGE.png
Credit:https://www.makesend.asia/yaowarat-street-food/
เยาวราชที่ได้ชื่อว่าเป็นไชน่าทาวน์ของไทยยามเย็นคราคร่ำไปด้วยผู้คนและร้านอาหารที่เปิดตามทางเท้าเรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง นอกจากนี้ยังมีภัตตาคารอีกมากมายคอยเปิดบริการอยู่ เมื่อเดินดูไปเรื่อย ๆ จึงพบว่ามีอาหารและขนมขายอย่างหลากหลาย ไม่ได้มีเพียงแค่อาหารจีนเพียงเท่านั้น
“นี่เป็นมื้อสุดท้ายที่ไทยก่อนจะกลับแล้ว นายอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
แมคเคนซีหันมาถามคนรัก เมื่อตอนที่จะออกจากลอนดอนดีนก็นึกอยากทานเป็ดย่างโฟร์ซีซั่น ไม่แน่ว่ามื้อนี้อีกฝ่ายอาจมีสิ่งที่อยากทานส่งท้ายก่อนจะกลับค่ายฮาร์ฟบลัดกันก็ได้
@Dean
“มีชื่อแปลก ๆ เยอะเหมือนกันนะ ฉันว่าเราลองเดินดูตามร้านดีกว่า อาจมีร้านธรรมดาแต่รสชาติดีเหมือนร้านถนนคนเดินที่ภาคเหนือก็ได้”
ตั้งแต่ได้เดินซื้อนั่นนี่ทานตามร้านถนนคนเดินที่ภาคเหนือ แมคเคนซีก็ชอบบรรยากาศแบบนั้นมาตลอด แม้ว่าที่เยาวราชจะคนเยอะกว่ามากจนดูแออัดไม่น่าเดิน แต่นี่ก็เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะอยู่ที่ประเทศไทยแล้ว หากพลาดร้านอร่อยไปก็คงน่าเสียดาย
“นายได้กลิ่นหอม ๆ ไหม”
ยังไม่ทันไรก็ได้กลิ่นหอม ๆ ลอยมาแตะจมูกเสียแล้ว กลิ่นเหมือนกาแฟแต่พอมองรอบ ๆ แล้วก็ไม่เห็นร้านกาแฟสักร้าน จนเมื่อเดินไปอีกหน่อยจึงได้รู้ที่มาของกลิ่นหอมที่ว่านั่น
“เกาลัด ?”
“ชิมไหมพ่อหนุ่ม อร่อยนะ ดิ๊ลิเชียส”
พอได้ยินคำว่า ‘ดิ๊ลิเชียส’ ก็รู้เลยว่ากำลังโดนขายของเข้าอีกแล้ว คุณป้าแม่ค้าที่ร้องเรียกพวกเขาหยิบเกาลัดที่คุณลุงเพิ่งคั่วจากกระทะร้อน ๆ มาปอกเปลือกแล้วส่งให้แมคเคนซีกับดีนชิมคนละลูก ดีที่เธอใส่ถุงมือผ้าแบบหนาไว้ ไม่งั้นมือน่าจะพองเหมือนมือเขาตอนนี้ที่รับลูกเกาลัดมาแล้วต้องรีบเป่าให้อุ่นยกใหญ่
“โอ๊ะ อร่อย”
รสชาติที่คล้ายถั่วแต่มีรสหวานน้อย ๆ ทำให้เคี้ยวเพลิน แถมยังมีกลิ่นหอม ๆ จากการคั่วอบอวลอยู่ในปากอีกต่างหาก
“นายว่าเป็นไง”
หันมาถามดีน แต่ถึงยังไงเขาก็คิดว่าคงได้ซื้อเกาลัดประเดิมเป็นร้านแรกแน่ ๆ
@Dean
“งั้นซื้อไปเก็บไว้กินที่ค่ายด้วย เอาสอง…ไม่สิ สี่ เอ้อ ห้าครับ เอาห้าชุด”
ตอนแรกว่าจะซื้อแค่สองชุดสำหรับตัวเองและดีน แต่พอนึกถึงน้องร่วมบ้านอีกสองคนที่ค่ายและรีชาน้องสาวดีนแล้วเลยจัดไปห้าชุดซะเลย คุณป้ากับคุณลุงคนขายพอเห็นว่าซื้อเยอะก็ดีใจ แถมให้เขาถุงละนิดละหน่อยด้วย
“ร้านแรกก็จัดซะเยอะเลยแฮะ”
แมคเคนซียิ้มฝืดขณะหอบหิ้วถุงเกาลัดคั่ว รู้สึกคิดถูกจริง ๆ ที่ฝากของไว้ที่สถานีรถไฟก่อน จากนั้นพวกเขาก็เดินทัวร์หาร้านของกินต่อ ทุกอย่างยังอร่อยตามสไตล์อาหารไทยเหมือนเคย ไม่ว่าจะเป็นร้านซาลาเปาขนมจีบสูตรดั้งเดิมที่ขายมาหลายสิบปี ร้านปลาหมึกย่างที่คนต่อคิวกันซื้อยาวเหยียดทีละหลาย ๆ ไม้อย่างกับจะมาเหมา ร้านผลไม้สมูทตี้ที่เย็นชื่นใจ และจบลงด้วยร้านขนมปังปิ้งนมสดที่ทานแล้วอิ่มสบายท้องจนหนังตาเริ่มหย่อน
“อิ่มชะมัด เดินกินแบบนี้ก็สนุกดีเนอะ”
@Dean
หลังจากทานมื้อเย็นที่เยาวราชเรียบร้อยก็ได้เวลาไปที่สถานีหัวลำโพงกันแล้ว เนื่องจากที่เยาวราชมีสถานีรถไฟใต้ดินไปยังสถานีหัวลำโพง การเดินทางจึงสะดวกสบายและใช้เวลาไม่มาก พอไปเอาของที่ฝากไว้ที่ล็อคเกอร์มารวมกับของใหม่ที่เพิ่งซื้อมาก็ต้องยิ้มฝืดอีกรอบด้วยไม่แน่ใจว่าพวกนี้คือของฝากหรือว่าของที่เอาไปเปิดร้านขายแข่งกับร้านสะดวกซื้อที่ค่ายกันแน่ มันช่างมากมายเหลือเกิน
“ไม่ ไม่นานเลย อีกห้านาทีเองเหรอ ไวสุด ๆ”
แมคเคนซีส่ายหน้าเป็นคำตอบเมื่อดีนไปซื้อตั๋วรถไฟกลับมา เวลาห้านาทีแทบไม่พอกับการไปเข้าห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่เป็นไร ถ้าเกิดระหว่างทางปวดท้องขึ้นมาค่อยไปเข้าห้องน้ำบนรถไฟก็ได้ เขารับกระเป๋าเงินดรักม่ามาเก็บไว้ แอบแปลกใจเล็กน้อยที่รู้สึกว่าน้ำหนักของมันไม่ได้ต่างไปจากตอนที่เขามอบให้อีกฝ่ายเท่าไหร่ แต่ถ้าจะให้เปิดดูตอนนี้ก็ไม่สะดวกเพราะเวลานี้รถไฟได้เขาเทียบชานชาลาแล้ว พวกเขาขนสัมภาระขึ้นไปยังห้องที่จองไว้ รอไม่นานรถไฟก็เริ่มออกเดินทาง ภารกิจเที่ยวไทยอันยาวนานใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
https://i.imgur.com/ZP7G7iY.png
ภารกิจเที่ยวไทยแลนด์:ถ่ายรูปจังหวัดกรุงเทพ
@God
Dean
โพสต์ 2024-9-30 10:47:15
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-9-30 10:58
Mackenzie ตอบกลับเมื่อ 2024-9-30 08:24
39. Goodbye ThailandM
หลังจากได้นอนพักผ่อนชาร์จแบตเต็มที่แล้ว ...
https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXdOE_aqvlkmqo4xGOL9xGqgf2Jx8GRNRkYiO67HJk_VapwG4aT_vBj-Lo7_v0bKSDDE24CIsbVcAJDKtmpdMVHlC0EXudEqcIGzpOq9nArdXEJBfCxqGh8MJecImJbvsit3sJzw7ggci08hKScLSFx3aCE?key=6xkeBBUKfnEwlC83CKr56g211https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXeF0coAhaNHPKAtIdYYj-s6KwSwo-_w7ZnpT1rkbBkEV3GaDUPQxbSlJKA2sLXEYEKq0ypbacn20QRufae20C2EA5APyjoDOwmfMft6gs63Kp9NzNmv_fhJ9QX8l5unOlDYxiyZPnGkI6cT9BEUuMLeHBOw?key=6xkeBBUKfnEwlC83CKr56gThailand P.11 - กรุงเทพมหานคร
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
วันสุดท้ายของการท่องเที่ยวประเทศไทย ในเมืองหลวงที่มีการจัดลำดับว่ารถติดอันดับโลก แต่วันนี้สบายหายห่วงเรื่องรถติดเพราะไม่มีรถให้ขับแถมรถไฟฟ้ายังสะอาดน่านั่งกว่าที่นิวยอร์กเป็นไหน ๆ จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง แค่มีภาระจากพัสดุที่ซื้อมาจนล้นกระเป๋าจนต้องหาที่ฝากจึงต้องวางแผนการเดินทางให้ดีสักหน่อยว่าจะเอาสัมภาระไปฝากไว้ตรงไหนก่อนจะเที่ยวกันต่อ
แต่ก่อนออกเดินทางก็ได้บุฟเฟต์อาหารเช้าสไตล์อเมริกันมาเติมเต็มความอยากอาหารเสียทีดีนจึงแทบจะตักไส้กรอกกับเบค่อนมากินล้วน ๆ อ้อ แต่ไม่ลืมที่จะตักสลัดมารับประทานก่อนเป็นอย่างแรกเพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นก่อนจะสวาปามเนื้อแปรรูปเหล่านั้นลงไป
“ฉันคิดว่าแถวสยามนะ ตรงนั้นเป็นแลนด์มาร์กใจกลางเมืองเลย แถมยังมีห้างเยอะแยะ ถึงตอนนั้นค่อยเลือกเอาว่าจะเลือกห้างไหน แต่ตอนนี้เราต้องมาตกลงกันก่อนว่าจะเอายังไงดี”
ดีนกล่าวพลางจิ้มไส้กรอกรมควันจุ่มมัสตาร์ดฉ่ำ ๆ แล้วเอาเข้าปาก
“ขอเสนอสองแผนการ… แผนแรก เราไปที่หัวลำโพงกันก่อน เอากระเป๋าไปฝากที่ล็อกเกอร์ให้เรียบร้อยก่อนจะตระเวนเที่ยว หรือ! แผนที่สอง ขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สยาม หาที่ฝากของแถวนั้นแล้วเที่ยวห้างจนกว่าจะพอใจ จากนั้นขึ้นซับเวย์ไปลงหัวลำโพงเอาของฝากที่ล็อกเกอร์จากนั้นค่อยเที่ยววัดใกล้ ๆ ฉันยกมือแผนสอง ขี้เกียจเทียวไปเทียวมา แค่ขนของขึ้นรถไฟหลายรอบหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง”
เสนอเองยกมือเองนักเลงพอ [ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“น่าจะมีแหล่ะ ใจกลางเมือง สถานีใหญ่เลยนี่นา ถ้าไม่มีก็…” ดีนเว้นวรรคไปครู่ใหญ่ “กลับไปแผนหนึ่ง”
แต่ให้จบที่แผนสองเลยดีกว่าพวกเขาจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา
หลังจากที่รับประทานโปรตีนในจานหมดดีนก็ลุกขึ้นไปตักผลไม้เป็นอาหารล้างปาก แม้ว่าชายหนุ่มผิวสีเข้มใบหน้าละตินจ๋าจะเริ่มเบื่ออาหารไทย แต่สำหรับผลไม้ไทยแล้วกินเท่าไรก็ไม่มีเบื่อ สมกับที่เป็นประเทศเขตร้อนและถูกยกย่องว่าเป็นครัวของโลกเสียจริง และหลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จจนพลังงานขึ้นเต็มหลอดกันทั้งคู่แล้วก็ได้เวลาออกเดินท่องเที่ยววันสุดท้ายที่ไทยแลนด์กันเสียที
โชคดีจริง ๆ ที่เมโมรีกล้องยังเหลือ แต่คงต้องคัดรูปส่งเทพีดีมิเทอร์นานแน่ ๆ … หรือจะส่งไฟล์ทั้งหมดให้นางเลยดี? ถ้าจำไม่ผิดเหมือนไม่ได้ถ่ายอะไรพิเรนทร์ ๆ เอาไว้นะ
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
ดีนยังคงเพลิดเพลินใจเมื่อได้นั่งรถไฟฟ้าที่ไม่เบียดเสียดยัดเยียดและมีทิวทัศน์น่ามองเช่นเดียวกับเมื่อตอนขามาวันแรก ความจริงหากทริปวันนี้เป็นการนั่งรถไฟฟ้าชมเมืองบางกอกทุกสายทั้งวันเขาก็ทำได้ไม่มีเบื่อ หากแต่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายที่ต้องไปเยือนในวันนี้เขาจึงไม่ได้เสนอแผนในใจออกไปให้คู่ออกเดินทางให้ฟัง
นั่งรถไฟฟ้าสองต่อเผลอแป๊บเดียวก็มาถึง ‘สยามพารากอน’ ห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางกรุง พวกเขานำสัมภาระที่ไม่จำเป็นฝากล็อกเกอร์จากนั้นก็เดินเที่ยวห้างที่ใหญ่โตแห่งนี้
“โห ใหญ่สุด ๆ แถมคนยังเยอะอีกด้วย นี่มันหรูหราหมาเห่ายิ่งกว่าห้างแมคซี่ที่เฮรัลด์สแควร์ซะอีก”
ดีนรู้ว่าเมืองหลวงของไทยเต็มไปด้วยอาคารสูงมากมายแตกต่างจากพื้นที่ชนบทที่เขาไปเยือนลิบตา แต่ก็ไม่คิดว่าในประเทศเดียวกันจะมีความแตกต่างทางด้านเศรษฐกิจมากมายขนาดนี้ ในความตื่นตาตื่นใจนั้นมีความห่างของของชนชั้นอยู่สูงจนประหลาด ทว่านักท่องเที่ยวอย่างเขาคงไม่กล้าวิพากวิจารณ์เอาเวลานั้นไปท่องเที่ยวกันดีกว่า
“อื้อ เอาห้างนี้แหล่ะ ข้างในจะมีอะไรบ้างนะ เข้าไปดูกัน” ถือเป็นการเดินเที่ยวชิล ๆ โดยแท้ ทั้งสองเดินเข้ามาในห้างที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำตัดกับอุณหภูมิร้อนระอุด้านนอก พื้นที่ส่วนชั้นหนึ่งส่วนมากจะเป็นร้านอาหารและคาเฟ่ที่ดูแล้วน่าสนใจเป็นอย่างมาก
“จะว่าไปแบรนร้านอาหารญี่ปุ่นเยอะเหมือนกันแฮะ”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ก็จริงแหล่ะ ถ้าอยากสร้างห้างใหม่ ๆ ก็ต้องไปพื้นที่ใหม่เลย นิวยอร์กไม่มีพื้นที่ไหนให้ตึกขึ้นได้แล้ว”
คิดถึงความแออัดจนน่าอึดอัดใจกลางเมืองก็ใจหาย ในสมัยตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมืองเขาไม่เคยคิดเช่นนั้นและสนุกไปกับมัน แต่พอได้ถอยออกมาอยู่ในพื้นที่เขตป่าอย่างค่ายฮาล์ฟบลัดแล้วเขากลับชอบความร่มรื่นของแมกไม้มากกว่า งอแงกับการไม่ได้ใช้เทคโนโลยีน้อยลง และเหมือนกับจิตใจได้รับการบำบัด กระนั้นก็ไม่รังเกียจที่นานทีจะได้เข้ามาแสดงหาความรื่นเริงในเมืองใหญ่แบบนี้
“คิดว่านะ… งั้นลองกันไหม ฉันไม่ค่อยได้กินอาหารญี่ปุ่นเลย” ติดแต่ว่าพวกเขาเพิ่งกินมื้อเช้ากันมาได้ชั่วโมงนิด ๆ “แต่ว่าเราเดินดูอย่างอื่นกันก่อนแล้วกัน ฉันยังไม่หิวเท่าไรเลย”
ดีนกล่าวก่อนที่จะพาแมคเคนซีเดินสำรวจห้างพารากอนตามชั้นต่าง ๆ เมื่อขึ้นมาชั้นบนพวกเขาก็พบกับร้านแบรนเนมหรูหรามากมายรวมกระทั่งร้านขายรถยนต์ที่เหมือนกับเป็นโชว์รูมย่อม ๆ ด้วย
“แมคซี่นายชอบรถแบบนี้ไหม?”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ได้เลยที่รัก เดี๋ยวฉันจัดให้แบบหรู ๆ”
ดีนขยิบตาให้คนรัก ความจริงเขาแค่แกล้งหยอกไปงั้น ใครมันจะอยากกินแพง ๆ ไปทุกมื้อ เน้นร้านอร่อยที่ดูน่ากินดีกว่า แล้วก็กลับมาเข้าเรื่องดูรถกันต่อ
“ไม่แปลกใจเลย นายซิ่งรถซะหัวฟูไปหมด” ชายหนุ่มหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะตอบคำถาม “ฉันเหรอ.. ไม่มีเป็นพิเศษ แต่รถสปอร์ตแบบคันนั้นก็ดีนะ”
ดีนชี้ไปที่รถสปอร์ตตราเสือดาวสีเหลืองกล้วยรูปทรงโฉบเฉี่ยวที่จอดอยู่ แต่ก็ได้แค่ชอบเพราะราคาเกินเอื้อม หลังจากที่เดินผ่านโชว์รูมรถยนต์ก็เจอร้านขายดูคาติ
“แบบนี้สินะที่นายชอบ”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ถ้าไม่ตายก็คงสบายใจอยู่…”
ถึงแม้ความเร็วจะทำให้สนุกสุดเหวี่ยงแค่ไหน แต่อย่างไรความปลอดภัยก็ต้องมาก่อน และใช่ เขายังไม่อยากตายก่อนอายุเจ็ดสิบ
“ตาเป็นประกายเชียวนะ ก็จริง ถ้ามีคนซ้อนต้องไปอยู่บนจงอยสีแดงนั่น..”
เทียบกันแล้วเบาะของดูคาติแคบกว่าแมคกี้ของแมคเคนซีเยอะ แล้วอีกฝ่ายขับรถเร็วขนาดนั้นมีหวังถ้าได้นั่งเจ้านี้แล้วตูดต้องกระเด้งไม่ติดเบาะแน่ ๆ เตรียมใส่กระจับกันจุกได้เลย
“ก็เท่ ยังไงนายก็ไม่ตัดใจจากแมคกี้เลยนะ นายอิจฉาชะมัด”
เผลอ ๆ ถ้าให้อีกฝ่ายเลือกระหว่างแมคกี้กับเขา อีกฝ่ายก็คงเลือกมอเตอร์ไซค์คู่ใจล่ะมั้ง แต่ช่างเถอะไม่คิดแง่ลบดีกว่า ดีนยิ้มยืดก่อนจะพยายามลบความอิจฉามอเตอร์ไซค์ออกไปจากใจ
หลังจากดูโซนโชว์รูมรถกันเสร็จแล้วก็ไปเดินเที่ยวยังส่วนต่าง ๆ ของห้างสรรพสินค้ากันต่อ หากแมคเคนซีสนใจฉันใดก็ดึงให้ดีนเดินออกจากช็อปลองจินส์ได้ยากฉันนั้น ดีนะที่ไม่มีเงินซื้อ ไม่งั้นเขาได้สอยนาฬิกาบวกภาษีแน่ ๆ
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
ดีนแค่ยกยิ้มแต่ไม่ตอบ ส่วนเรื่องนาฬิกานั้น..
“ถึงอยากได้แต่ก็หาโอกาสใส่ไม่ได้อยู่ดี อย่างตอนออกมาทำภารกิจแบบนี้ก็ต้องใช้นาฬิกาสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกของในมินิมาร์ทของค่ายแทนเนี่ย”
ดีนยกข้อมือซ้ายขึ้นมาบนนั้นมีนาฬิกาทหารเรือนสีดำประทับอยู่ หากต้องรับมือกับอสุรกายร้ายตลอดเวลาจะใส่ของดีราคาแพงให้หน้าปัดเป็นรอยได้ยังไง
“เรื่องนาฬิกาช่างมัน ตอนนี้ฉันเริ่มหิวล่ะ ส่วนร้านที่เล็งไว้ก็… ข้าวหมูทอดที่ชั้นสี่”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“หืม เพิ่งคิดจะใส่ปลอกคอให้ฉันงั้นเหรอ?”
ดีนหรี่ตามองแกมหยอกล้อไปให้แฟนหนุ่มชาวเกาะบริเตนใหญ่ จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก ไม่แน่ใจว่าข้าวหมูทอดแบบญี่ปุ่นเรียกว่าอะไร แต่คิดว่าใช่นะ แล้วพวกเขาก็เดินกลับไปยังชั้นสี่ที่เคยผ่านมา ทว่าคำพูดประโยคหลังของแมคเคนซีก็ทำให้ดีนเลิกคิ้วมองด้วยสายตาราวกับตำหนิ
‘แกล้งโง่หรือเปล่าเนี่ย!? ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าหมายถึงอะไร? แล้วทำไมเพิ่งมาถามฟะ!!’
“เพราะว่าฉันชอบสีส้มไง”
ตอบความเท็จเป็นการหยั่งเชิง ดูสิว่าอีกฝ่ายจะรู้ไหมว่าเขาโกหก [ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“นายให้ใส่แบบไหนฉันก็ชอบหมดแหล่ะ ให้ตายสิดูทำหน้าเข้า…” ดีนกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะขยับเข้าไปจิ้มแก้มอีกฝ่ายจึก ๆ “ชอบสีส้มน่ะถูกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่ความจริงแล้วฉันอยากให้ของที่นายให้อยู่กับฉันตลอดเวลาต่างหากล่ะ กล้าดีจริง ๆ มาถามหยั่งเชิงฉัน”
ขยับออกมามองเจ้าคนตาโหล หากว่าเขาไม่รีบเฉลยมีหวังอีกฝ่ายได้นอนไม่หลับแล้วขอบตาคล้ำแข่งชนะหมีแพนด้าแน่ ๆ
“มาถึงหน้าร้านแล้วเข้าไปกันเร็ว ฉันน่ะหิวจะแย่”
กล่าวแล้วก็ลากแขนอีกฝ่ายเข้าไปในร้านตามการต้อนรับของพนักงานเสิร์ฟที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปร๋อ สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นห้างใจกลางเมือง เมื่อพวกเขาหย่อนก้นลงนั่งก็ได้ผ้าร้อนสำหรับเช็ดมือให้ทันที เป็นการบริการแบบโอโตเมะนาชิ (บริการด้วยใจ) อย่างร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปไม่ว่าจะแบรนหรูหรือไม่กระทำ แต่สำหรับชาวอเมริกันอย่างดีนแล้วเขาไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมนี้เท่าไรจึงเอาแต่จด ๆ จ้อง ๆ ผ้าร้อนที่ถูกเสิร์ฟมาแทนที่จะเปิดเมนูดู
“ไอ้นี่คืออะไรน่ะ?”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“อือฮึ ฉันไม่ได้กินมาเยอะนี่นา วันนี้ต้องเดินเท้าไม่มีรถขับด้วย กินเยอะไปเดี๋ยวจุกแย่”
ดีนตอบรับความสงสัยเรื่องระบบการเผาผลาญของเขาซึ่งมันดีกว่าคนทั่วไป ที่แม้ว่าเขาจะยัดอาหารขยะและของหวานเข้าไปมากเท่าไรก็อ้วนยาก แต่บอกตามตรงตั้งแต่มาที่ไทยเขารู้สึกเหมือนว่าจะมีพุงขึ้นมาหน่อย ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ อาจเพราะกาแฟรสหวานกว่าปกติล่ะมั้ง แต่มันอร่อยนี่นา กลับไปค่ายค่อยไปวิ่งจ๊อกกิ้งเบิร์นหุ่นเอา อย่างไรเสียคนว่างงานอย่างเขาก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้วจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะออกกำลังกาย
แล้วเขาก็เลื่อนสายตาขึ้นจากผ้าร้อนมามองหน้าคนอธิบายก่อนจะก้มมองแล้วหยิบมาเช็ดไม้เช็ดมือบ้าง
“มีทุกร้านเลยเหรอดีแฮะ เพื่อสุขอนามัยสินะ สมกับเป็นคนญี่ปุ่นเป็นบ้า”
เห็นทีต้องเอาไปประยุกต์ใช้บ้างแล้ว หมายถึงถ้าออกจากค่ายไปแล้วน่ะนะ เมื่อเช็ดมือเสร็จเขาก็วางผ้าร้อนลงจากนั้นก็มาพินิจเมนูดูบ้าง มีทั้งหมูทอด ปลาทอด และเซ็ตรวมของทอด
“ฉันได้แล้ว เอาอันนี้แหล่ะ” จิ้มไปที่หน้าเซ็ตรวมของทอดไซส์บิ๊กเบิ้ม ได้ลองทานแทบทุกอย่างจนพุงแตกแน่ ๆ
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ไม่เยอะเท่าไรหรอกน่า ย่อยหมดไปแล้ว แต่ที่สั่งมาจะกินหมดไหมนะ”
แต่ในเซ็ตเขียนว่าสำหรับหนึ่งท่านนี่นาคงจะกินหมดแหล่ะ รออยู่หนึ่งอึดใจอาหารก็มาเสิร์ฟ เริ่มด้วยสลัดกะหล่ำปลีสไลซ์และซุปมิโสะที่เติมเพิ่มได้ไม่อั้น นอกจากนั้นพนักงานยังวางถ้วยแปลก ๆ ใส่เมล็ดงาคั่วกับไม้ท่อนเล็ก ๆ มาให้ เธอแนะนำว่าให้บดงาให้ละเอียดตามชอบจากนั้นก็ใส่น้ำจิ้มทงคัตสึในขวดโหลบนโต๊ะได้เลย แบบนี้ก็สนุกน่ะสิ ดีนพยายามบดเม็ดงาให้ละเอียดยิบอย่างมันมือจนหลัง ๆ กลายเป็นเมื่อยแทน จากนั้นเหล่าของทอดที่เขาและแมคเคนซีสั่งก็ตามมา
“พระเจ้า หน้าตาเหมือนในรูปเป๊ะ สมแล้วที่เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น!”
แทบจะอุทานออกมาพร้อม ๆ กับคู่เดท ดีนได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานานว่าอาหารญี่ปุ่นถ้าไม่ตรงปกเป๊ะ ๆ ก็จะได้แบบที่ใหญ่กว่าในเมนู แม้จะเยอะแต่หากเป็นของทอดที่รักเขาสามารถเปิดพื้นที่ในกระเพาะเพิ่มได้อีก
“มีอะไรบ้างนะ หมูทอด อันนี้กุ้ง นี่โครเก้ต์เหรอ น่ากินแฮะ แต่นอกจากหมูมีแค่อย่างละชิ้นเอง นายอยากลองชิมไหมแมคซี่”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ไม่น่ามีอันไหนที่ฉันไม่ชอบนะ”
ดีนหัวเราะ จากนั้นเขาจึงบีบเลม่อนฝานลงไปบนของทอดในจานใบใหญ่ของตัวเอง จะว่าไปหมูทอดสไตล์ญี่ปุ่นค่อนข้างต่างจากชนิตเซิลเหมือนกันแฮะแม้จะเป็นเนื้อชุบเกล็ดขนมปังทอดเหมือนกันก็ตาม จุดที่ต่างมากที่สุดคงเป็นขนาดความหนา ทงคัตซึจะชิ้นอวบชุ่มฉ่ำแต่ชนิตเซิลจะเน้นทุบให้บางก่อนนำไปทอด (ทำไม่เป็นหรอกนะ แค่เคยช่วยคุณพ่อทุบเนื้อตอนที่บังเอิญเข้าไปหยิบน้ำส้มในห้องครัว) ซึ่งพอกินทงคัตสึเข้าไปแล้วเขาแทบจะลืมชนิตเซิลไปเลย
“ฉันเห็นด้วยเลย นี่มันแทบจะไร้ที่ติ”
ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เขาเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ก่อนจะพุ้ยข้าวสวยญี่ปุ่นเข้าปากคำใหญ่ หมูสันในที่เป็นตัวชูโรงอร่อยขนาดนี้ชักอยากชิมชิ้นอื่น ๆ แล้วสิว่าจะอร่อยขนาดไหน ชิ้นต่อไปที่เข้าปากคือกุ้ง โอเคมันอร่อยแหล่ะ แต่คำต่อไปดันอร่อยกว่า
“เฮ้ย โครเก้ต์นี่มันอร่อยสุดยอด!!”
เนื้อมันฝรั่งนุ่มเนียนไม่เหมือนโครเก้ต์ที่บ้านเกิดเอาเสียเลยแถมด้านในมีเนื้อปูรสหวานยิ่งชูให้โครเก้ต์ที่กรอบนอกนุ่มในยิ่งหวานฉ่ำ เสียดายที่มีแค่ชิ้นเดียวแต่ว่าเขาอยากจะแบ่งให้อีกฝ่ายกินด้วย ดีนคีบโครเก้ต์ขึ้นมาจุ่มซอสนิดหน่อยแล้วยื่นไปป้อนแมคเคนซี
“อ่ะ ฉันให้ชิม กินแค่นิดเดียวนะ เหลือให้ฉันด้วย”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“เฮ้ย! งาบไปเยอะขนาดเลยเหรอ!”
อ้าปากพะงาบ ๆ หลังจากที่เห็นว่าโครเก้ต์ชิ้นโตของตัวเองแหว่งจนเหลือติดปลายตะเกียบที่คีบนิดเดียว หนอย! แบบนี้ยอมไม่ได้! ดีนเอาโครเก้ต์ที่เหลือเขาปากจากนั้นก็คีบหมูทอดของอีกฝ่ายเข้าปากเคี้ยวกลืนสองชิ้นรวด ถึงหมูทอดจะอร่อยก็เถอะแต่ตอนนี้คิ้วขมวดเป็นโบว์แล้ว
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ฮึ!”
ส่งเสียงแบบคูล ๆ ออกมาหลังจากที่ยกแก้วชาที่แมคเคนซีเลื่อนมาขึ้นดื่ม จากนั้นก็ยกมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งโครเก้ต์เดี่ยว ๆ มาอีกสามชิ้น
“ถึงสั่งเพิ่มแต่ฉันไม่คืนหมูทอดให้นายหรอกนะ บังอาจมาทรยศความมีน้ำใจของฉัน”
ยังคงงอนอยู่แต่พอเอากุ้งทอดเข้าปากก็ยังทำหน้าฟินอยู่ และเพียงไม่นานโครเก้ต์ทั้งหมดสามชิ้นก็ถูกนำมาเสิร์ฟดีนเลยรีบคีบโครเก้ต์หนึ่งชิ้นมาใส่ชามข้าวของตัวเองจองไว้ก่อนเลย
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ก็ดูนายกินดิ งาบไปเยอะกว่าที่ฉันกินไปอีก”
พอกลับมาคุยกับอีกฝ่ายก็ทำหน้ามุ่ยต่อ จงใจแกล้งกันชัด ๆ ไม่ใช่เหรอไอ้หมีแพนด้าบ้ามอเตอร์ไซค์เอ๊ย! พอยิ่งโมโหก็ยิ่งกินไวปานพายุ แป๊บ ๆ ข้าวหมดจนต้องขอรีฟิลข้าวเพิ่ม ทั้งของทอดทั้งสลัดพร่องหมดไปอย่างรวดเร็ว ส่วนโครเก้ต์เจ้าปัญหาดีนกินไปสอง เหลืออีกชิ้นไว้ให้แมคเคนซี
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
คิดว่ากินของคาวเสร็จจะจบแล้วแต่พอพวกเขารับประทานกันเกือบเสร็จพนักงานก็มาถามว่ารับของหวานเลยไหม ทำเอาตกใจเลยไม่คิดว่าในเซ็ตจะมีไอศกรีมชาเขียวให้คนละสกู๊ปด้วย คุ้มค่าชะมัด ก็เลยกินกันจนพุงตึงไปหมด อิ่มแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นจนลืมโกรธที่อีกฝ่ายกวนไปก่อนหน้านั้นได้
“อยากเดินเล่นอีกฝั่งต่อ แต่ไม่เป็นไรก็ได้ เรายังเหลือที่เที่ยวอีกตั้งสามที่ใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวไม่ทัน อีกอย่างคุณไกด์เมื่อวานแนะนำให้ไปภูเขาทองด้วย เราจะไปกันไหม?”
เพิ่มสถานที่เที่ยวมาอีกหนึ่งที่จะทันหรือเปล่านะ ไม่ได้ไปคงเสียดายแย่ แต่ถ้าไปอาจจะตกรถไฟได้เนี่ยสิ…
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“รีบกลับหรือเปล่าล่ะ ฉันไม่มีอะไรที่ต้องทำหรอกนะ แต่ถ้าอยู่ต่ออีกวันค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่ม..”
รู้ล่ะว่าอีกฝ่ายมีกำลังทรัพย์พอจ่ายไหว แต่ก็อดเกรงใจคนรักไม่ได้อยู่ดีเพราะนี้ก็ให้แมคเคนซีซัพพอร์ตเงินมาตั้งเยอะ
“อื้ม แบบนั้นก็ได้ ถ้างั้นก็ตกลงตามนั้นแหล่ะ ส่วนเดินเล่นต่อ… เอาไว้ก่อนก็ได้ ยังไงช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ก็คงเหมือน ๆ กันหมดแหล่ะมั้ง ว่าแต่เดินทางไงดีล่ะ”
ปลายนิ้วสไลด์หน้าจอสมาร์ทโฟนเพื่อดูแมพขณะไปรับสัมภาระที่ฝากเอาไว้ เหมือนว่าจากสยามพารากอนไปวัดโพธิ์จะไปได้หลายวิธีเลย มีรถบัสสาธารณะไปถึงในต่อเดียวได้ด้วย เรื่องลงรถคงไม่เป็นปัญหาอะไรเท่าไร แต่เห็นมีคนชอบบ่นว่ารถบัสของไทยที่เรียกว่า ‘รถเมล์’ ไม่มีเวลาเดินทางถึงป้ายแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรอรถนานเท่าไรก็ไม่รู้
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ฉันล่ะเกรงใจคุณพ่อนายจริง ๆ”
ได้แต่ยิ้มแหย ถึงบ้านอีกฝ่ายจะเป็นเศรษฐีกลอสเตอร์ไม่เหมือนกับครอบครัวของเขาที่เป็นชนชั้นแรงงานที่แม้จะไม่ได้ลำบากก็พอจะรู้ว่าการเป็นหนี้สินมันแย่อย่างไร เอาไว้ดูก่อนอีกที ถ้ากลับไม่ทันก็คงต้องหาที่พักกันอีกคืน
“เป็นความคิดที่ดี ตามสถานที่ท่องเที่ยวพวกนั้นไม่รู้จะมีที่ฝากของหรือเปล่าด้วยสิ”
จากประสบการณ์เที่ยววัดกันมาไม่มีที่ฝากของเลยด้วย เพราะฉะนั้นไม่เสี่ยงหิ้วของหนักไปมาจนกล้ามเนื้ออักเสบดีกว่า
หลังจากที่ฝากของกันที่หัวลำโพงแล้วก็ได้เวลายิงยาวท่องเที่ยว เริ่มด้วย ‘วัดโพธิ์’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ ‘วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร’ ดีนไม่เข้าใจว่าทำไมวัดไทยถึงมีชื่อยาวและชื่อย่อ ในเชิงภาษาจะเป็นตัวย่อแบบ NASA ย่อมาจาก National Aeronautics and Space Administration หรือเปล่านะ?
แต่ก็ต้องหยุดความสงสัยไว้ก่อนเมื่อมาถึงวัด จะว่าไปวัดใหญ่ ๆ ในกรุงเทพก็มีความหรูหราและเคร่งขลังคนละแบบกับวัดในภาคเหนือ
“ดูเหมือนว่าวัดแห่งนี้จะขึ้นชื่อด้านการรักษาโรคนะ”
ดีนเปิดใบปลิวอ่าน ตอนแรกเขาคิดว่าวัดแห่งนี้ขึ้นชื่อแค่เรื่องนวดไทย แต่ความจริงแล้วที่วัดแห่งนี้มี ‘โรงเรียนแพทย์แผนโบราณและการนวดแผนโบราณ’ อยู่ในวัดเลยต่างหาก
“ฉันเคยนวดไทยที่นิวยอร์กสองสามครั้ง มันดีมากเลย นายอยากลองดูบ้างไหม?”
เกริ่นแบบนี้แปลว่าอยากนวดแหล่ะ ก็แหมพวกเขาเที่ยวกันมาตั้งหลายวัน ร่างกายย่อมเมื่อยล้าเป็นธรรมดา
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
ได้คำตอบเรื่องการเงินดูเหมือนว่าดีนต้องเปลี่ยนความคิด
“แม่ง.. น่าหมั่นไส้ชะมัด”
ใช่ซี้ งานบาร์เทนเดอร์มันเงินดีนี่นา ไม่เหมือนเขาที่เป็นพนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดต๊อกต๋อย แม้ที่สหรัฐฯ จะมีธรรมเนียมจ่ายทิปยี่สิบเปอร์เซนต์ของค่าอาหารเป็นปกติ ที่ดูเหมือนว่าเหล่าพนักงานเสิร์ฟน่าจะได้เงินพิเศษเยอะ แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะดันมีกฎหมายที่ระบุให้นายจ้างสามารถจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าเงินเดือนขั้นต่ำของพนักงานที่รับทิปได้ เฮ็งซวย!
เก็บความขุ่นเคืองใจเรื่องราวในอดีตไว้เพียงแค่นั้นก่อนเพราะชีวิตตอนนี้เขาสามารถอยู่ได้ด้วยเงินภารกิจและจากการที่ช่วยเจ๊ฮาร์ปี้เก็บกวาดโรงอาหาร สาบานได้เลยว่าหากชีวิตไม่ตกต่ำจนเกินไปเขาไม่กลับไปทำงานที่นายจ้างกดขี่อีกแน่ ๆ แม้เพื่อนร่วมงานจะดีแต่ถ้าไม่มีเงินก็อยู่ไม่ได้
แต่จะว่าไปชีวิตตอนนี้ก็ถือว่าดีอยู่นะ ส่วนหนึ่งเพราะมีแฟนและแฟนยังรวยอีกต่างหาก (เขาถึงได้มานวดแผนไทยอย่างสบายใจเฉิบแบบนี้อยู่ได้) ถึงจะน่าหมั่นไส้มาก ๆ ก็ตามทีเถอะ ดังนั้นดีนจึงแอบสะใจเล็ก ๆ เมื่อได้ยินเสียงโอดครวญที่ลอยออกมาจากเตียงนวดข้าง ๆ คนไม่เคยนวดก็แบบนี้ มาครั้งแรกก็เจอของแรงแล้ว ก็ต้องยอมรับเลยว่าแรงของป้าหมอนวดดีกว่าสาว ๆ ที่นิวยอร์กเสียอีก กดคลึงแต่ละครั้งได้ตรงจุด มันเจ็บนะ แต่ว่าฟินเวอร์
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“เจ็บสิ เจ็บ ๆ แบบนี้ฟินดีจะตาย”
พูดไปก็หลับตาพริ้ม ฟังเองแล้วแอบเหมือนว่าตัวเองเป็นมาโซคิสม์ยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่ว่าช่างเถอะ นวดไปนวดมาเสียงร้องที่เตียงข้าง ๆ ก็เงียบเสียงลง ลองหันไปอีกทีก็เห็นว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว… หรือสลบหว่า?
สองชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก พวกเขานวดเสร็จเรียบร้อยจนตัวโล่งสบายติดอย่างเดียวคือกลิ่นน้ำมันนวดติดตัวหึ่งจนอยากหาที่อาบน้ำเสียเหลือเกิน
“เป็นไงบ้าง ดีใช่ไหมล่ะ” ดีนเปิดกระเป๋าเป้ควานหากระเป๋ายาก่อนจะหยิบยาแก้ปวดให้อีกฝ่ายและตัวเองคนละสองเม็ด “กินกันไว้ก่อน เดี๋ยวอาจจะเจ็บระบม”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“เชี่ยวชาญไหมไม่รู้ ฉันก็แค่เคยโดนของหนักมานิดหน่อย” ตอนนี้รู้สึกโล่งสบายตัวอยู่หรอก แต่ไปลุ้นกันคืนนี้ว่าไข้จะขึ้นไหม “เอาสิ ไปที่ต่อไปกันเลย ก่อนที่กล้ามเนื้อฉันจะอักเสบ”
ดีนกลั้วหัวเราะ เมื่อตกลงกันได้แล้วก็เดินทางไปยังที่หมายถัดไปซึ่งก็คือ ‘วัดพระศรีรัตนศาสดาราม’ หรือที่คนไทยมักเรียกกันว่า ‘วัดพระแก้ว’ นั่นเอง ถึงจะอยู่ไม่ห่างจากวัดโพธิ์มากนักแต่ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวแบบนี้คงจะเดินท้าวไปไม่ไหว (ไม่งั้นที่เพิ่งนวดมาสูญเปล่าหมดกันแน่) พวกเขาจึงต้องหารถประจำทางหรืออะไรสักอย่างเดินทางกันต่อ แล้วสายตาของดีนก็กวาดไปเห็นทั้งรถตุ๊กตุ๊กและแท็กซี่สีลูกกวาด ที่จอดอยู่ด้านหน้าวัดรอให้ผู้โดยสารใช้บริการพอดี
“แมคซี่ขึ้นตุ๊กตุ๊กกัน เขาว่าถ้ามาไทยแล้วไม่ได้ขึ้นตุ๊กตุ๊กก็เหมือนมาไม่ถึงประเทศไทย”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ก็… หลาย ๆ เรื่องล่ะนะ” ให้สาธยายว่าเคยโดนอะไรหนัก ๆ มาบ้างคงไม่ไหว แต่ถ้าเป็นสถานะเสี่ยงตายสุด ๆ คงไม่พ้นตอนที่เขาถูกหางพิษของไคมีร่าแทงไปสองที หากไม่ได้ ‘พ่อ’ ช่วยเอาไว้มีหวังซี้แหงแก๋คาหาดไมอามี่ไปแล้ว
แต่ตอนนี้พวกเขาถูกโชเฟอร์ตุ๊กตุ๊กโขกสับในราคาที่แรงเกือบเท่า ๆ กับถูกหางไคมีร่าจิ้มพุง
“งั้นเรียกคันอื่นแทนไหม ไม่ก็แท็กซี่”
แต่พูดก็พูดเถอะ ข้อเสียหลักของไทยก็คือโชเฟอร์หน้าเลือดที่ชอบขูดรีดราคาค่าโดยสารนักท่องเที่ยวจนคนที่เคยไปเที่ยวมาเตือนเป็นอันดับต้น ๆ
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“ก็อยากแต่…”
ยังไม่ทันจะพูดจบก็มีหนุ่มไทยคนหนึ่งแทรกเข้ามา ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นโชเฟอร์ตุ๊กตุ๊กเหมือนกัน ใช่แหล่ะ เพราะเขาจะไปส่งพวกเราด้วยเงินแค่ยี่สิบบาทนี่นา นี่สิคนดี! ทว่าหลังจากนั้นลุงคนขับคนแรกแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาแล้วก็เถียงกันเป็นภาษาไทยยกใหญ่ ดีนที่กลัวการมีเรื่องได้แค่ยืนหลบหลังแมคเคนซี ดีที่ไม่มีเรื่องราวใหญ่โตไม่อย่างนั้นเขาคงพาคนรักวิ่งหนีออกมาแล้ว จนในที่สุดพวกเขาก็ได้รถตุ๊กตุ๊กที่ถูกและได้ชมวิวกรุงเทพอย่างสบายใจ
“เฮ้อ ดีจัง ฉันนึกว่าจะมีเรื่องกันซะแล้ว”
ดีนยิ้มออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นพวกเขาก็ซื้อบัตรเข้าชมวัดพระแก้วที่อยู่ติดกับพระบรมมหาราชวัง
เข้าสู่ช่วงเรื่องเล่าน่ารู้!
ตำนานการสร้างพระแก้วมรกตซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดที่ชาวไทยเคารพศรัทธาจนนำมาตั้งชื่อเรียกให้วัดมีอยู่ว่า.. มีมหาเถร (พระผู้ใหญ่) มหานาคเสน อยู่ที่เสนอาราม เมืองปาฏลีบุตต์ (ประเทศอินเดีย) คิดจะสร้างพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่งขึ้นมา พระอินทร์ได้รับรู้ถึงความปรารถนานั้นจึงบันดาลให้วิษณุกรรม (เทพการช่าง) นำแก้วมณีโชติจากเขาวิบูลบรรพตมาให้ แต่ยักษ์ที่ดูแลแก้วมณีไม่ยินยอม หลังเจรจาอยู่นานยักษ์ผู้ดูแลอัญมณีจึงให้มรกตมาแทนพระอินทร์จึงให้สลักเป็นรูปพระพุทธเจ้า แล้วบรรจุธาตุของพระพุทธเจ้าไว้เจ็ดแห่ง พระมหานาคเสนได้ทำนายต่อว่า ต่อไปพระแก้วมรกตนี้จะเจริญรุ่งเรืองดินแดนแถบเอเซียอาคเนย์
ต่อมาพระยาอนุรุทธราช กษัตริย์พม่าได้ส่งนักปราชญ์ทั้งหลายไปคัดลอกพระไตรปิฎกจากลังกาและได้พระแก้วมรกตกลับมาด้วย ระหว่างทางเรือสำเภาถูกนํ้าซัดไปติดอยู่ที่นครหลวง พระยาอนุรุทธราชไปขอคืนแต่พระญานครหลวงคืนให้เฉพาะพระไตรปิฎก ต่อมาพระญาอาทิตย์รบชนะเมืองนครหลวง จึงอัญเชิญพระแก้วมรกตไปที่เมืองอโยธยา ภายหลังพระรามแห่งเมืองกำแพงเพชรย้ายไปไว้ที่กรุงเทพฯ ต่อมาพระญามหาพรหมราชได้อัญเชิญไปไว้ที่เชียงราย และเมื่อพระญาติโลกราชแห่งเชียงใหม่สร้างกุฎีเสร็จ จึงอัญเชิญไปประดิษฐานที่เมืองเชียงใหม่แต่นั้นมา
แต่ก็มีอีกหลายตำนานเกี่ยวกับพระแก้วมรกตที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ บางก็ว่ากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์ในตอนนั้นรบชนะลาวแล้วนำพระคู่บ้านคู่เมืองของลาวมาประดิษฐานไว้ที่กรุงเทพแทน
“ไกด์คนนั้นบอกว่าวัดพระแก้วถอดแบบมาจากวัดที่อยุธยาเลยสินะ แทบไม่น่าเชื่อนี่มันหรูหราแบบสุด ๆ”
อดจะทึ่งกับสถาปัตยกรรมไม่ได้ ขนาดว่ารูปสลักตามกำแพงโดยรอบยังมีรายละเอียดที่วิจิตรงดงาม ไม่มีส่วนไหนที่ดูเป็นงานลวกงานเร่งเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ดีนไม่แน่ใจว่าสีทองที่เคลือบอยู่บนปูนปั้นเป็นทองจริงหรือแค่สีทา เพราะหากเป็นทองจริงก็ดูจะล่อตาโจรมากเกินไปหน่อยแม้ว่าสถานที่นี้จะอยู่ติดกับพระบรมหาราชวังเลยก็ตาม
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
น่าเสียดายที่ส่วนของพระราชวังไม่สามารถเข้าไปเดินชมได้อย่างเช่นที่ลอนดอน พวกเขาสามารถเดินเล่นได้เพียงแค่รอบนอกเท่านั้นแถมสถานที่ยังกว้างใหญ่สมกับเป็นพระบรมมหาราชวังจริง ๆ จึงทำให้สำรวจไม่ได้ถ้วนทั่วก็จำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป
ไม่ลืมถ่ายรูปสถานที่สำคัญอย่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อนั่งรถผ่าน ที่นี่คือ ‘หลักกิโลเมตรที่ศูนย์’ ของไทย เรียกได้ว่าถ้าจะนับจุดเริ่มต้นจากไหนก็คงเป็นที่นี่ แต่ดูแล้วอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นดั่งอนุสรณ์สถานมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวเนื่องจากอยู่บนเกาะวงเวียนกลางถนนที่รถยนต์วิ่งกันขวักไขว่ จึงไม่มีนักท่องเที่ยวลงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอย่างเช่นหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของสหรัฐฯ ใกล้ธรรมเนียบขาว ณ วอชิงตัน ดี.ซี.
นั่งรถฝ่าการจราจรอันพลุกพล่านของเมืองหลวงได้จนมาถึงภูเขาทอง ดีนแหงนหน้าขึ้นมองยอดเจย์ดีย์สีทองตั้งตระหง่านอยู่บนอาคารสีขาวรูปทรงคล้ายภูเขา
“นั่นน่ะเหรอภูเขาทอง มองจากตรงนี้ไม่รู้เลยแฮะว่าฐานรากเอาอิฐมาจากอยุธยา.. จะว่าไปดูใหม่กว่าที่คิดซะอีก ฉันนึกว่าคนประเทศนี้จะไม่ปฏิสังขรณ์โบราณสถานซะแล้ว”
จะไม่ให้คิดแบบนั้นได้อย่างไรในเมื่อเมืองหลวงเก่าอย่างอยุธยามีอายุไม่กี่ร้อยปีเองยังมีสภาพเหลือเป็นแค่ซาก แม้ผ่านการทำลายจากสงครามมาก็ไม่น่าทรุดโทรมขนาดนั้นหากได้รับการดูแลมาตั้งแต่ต้น
“น่าเสียดายอ่ะเข้าไปไม่ได้ ถ้างั้นเราไปที่เยาวราชต่อกันเลยไหม?”
ตอนนี้เวลาก็ใกล้ที่พระอาทิตย์จะลับฟ้าเต็มแก่ ร้านรวงต่าง ๆ น่าจะเปิดให้บริการพอดี
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
เมื่อมาถึง ‘เยาวราช’ หรือไชน่าทาวน์ของไทยแลนด์ ร้านรวงต่าง ๆ ก็เริ่มเปิดไฟสร้างสีสันแข่งกันตัดกับสีของท้องฟ้าที่มืดครึ้มลง บรรยากาศจ้อกแจ้กจอแจที่ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ของ ‘ไชน่าทาวน์’ ที่อยู่อาศัยของดีนตอนเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ในย่านแมนฮัตตัน ณ ถนนบอร์ดเวย์ เพียงแค่มีถนนเวสต์ฮูสตันตัดผ่านอีกด้านก็คือ ‘โซโฮ’ หรือไชน่าทาวน์แล้ว ภาพที่เห็นจึงมีความชินตาอยู่บ้างแม้ว่าเขาจะไม่ได้ข้ามฟากไปบ่อยหากไม่มีธุระ ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศไหนก็แทบไม่ต่างกันเลยจริง ๆ เพียงแค่ว่าร้านอาหารข้างทางของนิวยอร์กจะเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าร้านของไทยที่ยื่นออกมาตามทางเท้า แม้จะดูไม่เป็นระเบียบแต่กลับมีสีสันของชีวิตมากกว่า
“ที่นี่ไม่ต่างจากโซโฮเท่าไรเลยแฮะ แปลว่าต้องมีของอร่อยให้กินเยอะแน่ ๆ”
ดีนยิ้มยืดอย่างมั่นอกมั่นใจ เอาจริง ๆ ตั้งแต่มาไทยเขายังคิดว่าไม่มีอะไรที่ไม่อร่อยเลย เพียงแค่ว่าตนเองโหยหาอาหารตำหรับอเมริกันเท่านั้นเองจึงทำให้ความอยากอาหารไทยลดลง
“ที่อยากกินเป็นพิเศษไม่มีนะ แต่ฉันว่าถ้ามาย่านคนจีนแบบนี้เราควรจะกินอาหารจีนกันหรือเปล่า? ฉันเคยหาร้านแนะนำเอาไว้ แป๊บนึงนะ ขอดูก่อน”
กล่าวแล้วชายหนุ่มก็หยิบสมาร์ทโฟนจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสไลด์หาร้านที่เคยโน้ตเอาไว้
“ก๋วยจั๊บ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น แกงกะหรี่จีน กระทะร้อน ซีฟู้ด หรือว่าอาหารจีนดั้งเดิมไปเลย แล้วก็ร้านขนมปัง นายว่าเอาไงดี หรือว่าเราจะลองเดินหาร้านดู ร้านไหนน่ากินก็เข้าร้านนั้นดีล่ะที่รัก?”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
“โอเคได้”
ดูท่าทางว่าแมคเคนซีจะติดใจการเดินตลาดเสียแล้วซึ่งทำให้ดีนค่อนข้างจะประหลาดใจนิดหน่อยเพราะดูแล้วอีกฝ่ายดูเหมือนคนที่ออกจากห้องมาเพื่อทำอะไรบางอย่างแล้วรีบกลับมากกว่าเดินดูนั่นนี่ไปเรื่อย หรืออาจเพราะนี่เป็นวันสุดท้ายของการอยู่ที่ประเทศไทยจึงอยากซึมซับบรรยากาศก็ได้มั้ง ซึ่งเมื่อเดินผ่านร้านเกาลัดพวกเขาก็ได้กลิ่นคั่วหอม ๆ ลอยเตะจมูกเข้าอย่างจัง และแม่ค้าก็อัธยาศัยดีพยายามตื๊อขายเสียด้วยจนทั้งสองได้รับเกาลัดให้ลองชิมคนละลูก
“อื้ม อร่อยดี ติดอย่างเดียวอากาศร้อนไปหน่อยถ้าได้กินตอนหน้าหนาวคงอร่อยกว่านี้”
ไม่ต้องเป็นฤดูหนาวก็ได้อย่างช่วงเวลาที่เขาชื่นชอบกินเกาลัดจากย่านโซโฮมากที่สุดคงไม่พ้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศที่เริ่มเย็นลงกับการรับประทานมันเผาหรือเกาลัดรสหวานคั่วร้อน ๆ เป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีสุด ๆ
“เอาสิ ถ้านายอยากกิน แต่ว่าอย่าเพิ่งกินเยอะนะ เดี๋ยวจะอิ่มก่อนได้กินของคาวอย่างอื่น”
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
ได้ยินอีกฝ่ายสั่งเกาลัดก็ขมวดคิ้ว
‘มันจะเยอะไปไหม!’
คิดได้ว่าเป็นของฝาก แต่แมคเคนซีคงจะลืมกว่ากว่าพวกเราจะไปถึงค่ายฮาล์ฟบลัดก็เป็นวันมะรืนแล้ว (หรือพรุ่งนี้ตามเวลาท้องถิ่น) เกาลัดที่อุ่นและหอมฉุยมันจะชืดเอาน่ะสิ ต่อให้เอาไปอุ่นอีกรอบก็จะแข็งกระด้างไม่อร่อยเหมือนเดิม อ้าปากจะแย้งแต่ก็ไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายจ่ายเงินไปเสร็จสรรพ เอาเถอะ เป็นบทเรียนให้คุณหนูได้เรียนรู้ว่าซื้อมากไปก็ไม่ดี
อาหารข้างทางทำเอาพวกเขาอิ่มแปะ แล้วตอนนี้ก็ได้เวลากลับนิวยอร์กแล้วสินะ จะว่าเสียดายก็นิดหน่อย แต่พวกเขาได้เที่ยวไทยอย่างเต็มอิ่มแบบสุด ๆ แล้วล่ะ
หลังจากนี้ทั้งสองก็หอบถุงเกาลัดมากมายกลับไปที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเอาสัมภาระที่ฝากไว้จากนั้นก็ทะลุกำแพง ณ ชานชาลาหมายเลขเก้าเข้าไปยังสถานีรถไฟเฮเฟตัสสาขาไทยแลนด์ ดีนให้แมคเคนซีเฝ้าของเอาไว้ในขณะที่เขากำลังซื้อตั๋วรถไฟขากลับ ตอนแรกก็กะว่าจะใช้เงินดรักม่าที่คนรักฝากไว้ตั้งแต่ขามาจ่าย แต่ดีนพึ่งพาเงินโลกมนุษย์ของอีกฝ่ายเอาไว้เยอะตนจึงตัดสินใจใช้ดรักม่าของตัวเองจ่ายแทน
พนักงานดูเหมือนจะเป็นมือใหม่จึงทำอะไรชักช้าไปหน่อย ระหว่างที่รอดีนก็ได้ยินเสียงรายการวิทยุที่เปิดด้านในห้องขายตั๋ว
“สวัสดีค่ะพี่แจ๊ค ขอเริ่มเล่าเลยนะคะ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เลยค่ะ น้องไปเที่ยวกางเต็นท์ที่ดอยแห่งหนึ่งในภาคเหนือกับครอบครัว ทุกอย่างปกติดี แต่อยู่ ๆ กลางดึกคืนนั้นน้องได้ยินเสียงฝรั่งตะโกนว่า ‘โกสต์!!’ จนน้องตื่นขึ้นมาแต่ไม่กล้าออกจากเต็นท์ค่ะ พอมองออกไปข้างนอกน้องก็เห็นเงานักรบโบราณต่อสู้กันอยู่ น่ากลัวมากเลยค่าพี่แจ็ค แล้วหลังจากนั้น….…” (ภาษาไทย)
ด้วยความที่ฟังภาษาไทยไม่ออกชายหนุ่มจึงไม่ได้ใส่ใจและรอรับตั๋วสองใบที่ซื้อมาแล้วกลับไปหาแมคเคนซีที่รออยู่
“โทษทีที่รักรอนานไหม เหมือนว่าคนขายตั๋วจะเป็นเด็กฝึกงานน่ะ อ้อใช่ อีกห้านาทีรถไฟจะออกเดินทางแน่ะ พวกเรานี้กะเวลาได้ตรงเป๊ะเลยนะ” เขาหัวเราะ “แล้วก็นี่ ถุงเงินดรักม่าของนาย ฉันคืนเลยก็แล้วกัน”
ดีนคืนเงินดรักม่าที่แมคเคนซีไว้วางใจเอามาฝากโดยที่เงินในถุงไม่ได้พร่องลงแม้แต่น้อย ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันต่อเสียงหวูดรถไฟสไตล์คลาสสิกก็ดังขึ้น
“โอ๊ะ มาแล้ว รีบไปกัน!” ดีนตบบ่าคนรักเบา ๆ ก่อนจะรีบหอบข้าวของแล้วตรงไปขึ้นรถไฟในทันที...
[ดูโรลเพลย์ก่อนหน้าของ Mackenzie]
https://lh7-rt.googleusercontent.com/docsz/AD_4nXd9IcCAKuuvWlJCmtpgTWevlJH10TJuMQ6xl743eq8lkho2_yOf8wQLwFoh2HBtLO2_fdw9JLQ3s409Spy3OynyA4A-RQcaQr1DantG6bpV7xxHPFDi4CsTHxTcSGVNCLT5auzQXu72oRiXEtxiGSzz3dQ?key=6xkeBBUKfnEwlC83CKr56g
จ่ายค่ารถไฟเฮเฟตัสกลับนิวยอร์ก
ห้องพิเศษ 100 ดรักม่า (รวมภาษี = 106 ดรักม่า)
Rita
โพสต์ 2024-11-27 14:07:43
<meta charset="UTF-8">
<meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0">
<title>Roleplay Box</title>
<style>
html {
background-color: #333; /* สีพื้นหลังเว็บ */
color: #fff; /* สีตัวอักษร */
font-family: Arial, sans-serif;
margin: 0;
height: 100%; /* ให้เต็มความสูงหน้าจอ */
}
.main-content {
display: flex;
justify-content: center;
align-items: center;
min-height: 100vh;
padding: 0 15px;
}
.roleplay-box {
border: 2px solid red;
background-color: black;
padding: 15px;
margin: 10px;
border-radius: 10px;
max-width: 500px;
box-shadow: 0 0 10px rgba(255, 0, 0, 0.7);
}
.character-name {
font-size: 1.2em;
font-weight: bold;
color: #ff6666;
margin-bottom: 8px;
}
.roleplay-content {
font-size: 1em;
color: #fff;
}
</style>
<container><font face="Kanit" size="4">
<!-- แทนที่การจัดการ body ด้วย div -->
</font><div class="main-content">
<div class="roleplay-box">
<div class="character-name"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><img src="https://i.imgur.com/QjBAJqg.jpeg" width="300" _height="500" border="0"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><br></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4">ชื่อ: Rita Chanakarnwarukpinit</font></div>
<div class="roleplay-content">
<font face="Kanit" size="4"><br> "บทที่ 1: การเดินทางของริต้า"</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>หลังจากที่รถไฟหยุดและจอดสนิทลงเรียบร้อยแล้ว เสียงประกาศดังผ่านลำโพงในสถานีหัวลำโพงของกรุงเทพมหานคร</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ขบวนรถไฟที่เดินทางมาจากเชียงใหม่ ได้มาถึงสถานีปลายทางแล้ว ขอให้ผู้โดยสารตรวจสอบสัมภาระและลงจากรถไฟโดยเรียบร้อย ขอบคุณค่ะ"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>สาวน้อยริต้าสะพายกระเป๋าใบเล็ก พร้อมกับหิ้วกระเป๋าเดินทางอีกใบหนึ่งในมือ เธอค่อยๆ ก้าวลงจากรถไฟ มองรอบตัวอย่างตื่นเต้น แม้จะเป็นบ้านเกิดของเธอเอง แต่เธอจากกรุงเทพฯ ไปตั้งแต่ยังเล็ก การกลับมาอีกครั้งหลังจากสิบปี ทำให้ทุกอย่างดูแปลกใหม่สำหรับเธอ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"กรุงเทพฯ... ไม่เหมือนที่ฉันจำได้เลย" </b> ริต้าพึมพำกับตัวเอง</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>เสียงผู้คนพูดคุยจอแจ รถจักรยานยนต์รับจ้างที่ขับวนอยู่ด้านนอกสถานี และเสียงล้อกระเป๋าลากบนพื้นคอนกรีตสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังเคาน์เตอร์ขายตั๋วเพื่อซื้อตั๋วเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุรินทร์</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"สวัสดีค่ะ ฉันขอตั๋วไปสุรินทร์หนึ่งที่ค่ะ" </b> ริต้าพูดพร้อมรอยยิ้ม</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"ได้ค่ะ ขบวนที่เร็วที่สุดจะออกเวลา 10.30 น.นะคะ ราคา 250 บาทค่ะ"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ริต้าพยักหน้ารับพร้อมจ่ายเงิน ก่อนจะหยิบตั๋วที่ได้รับมายื่นดู เธอรีบเก็บมันใส่ในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง เธอเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนรถไฟจะออก จึงเดินสำรวจบริเวณสถานีและหาขนมรองท้อง
<br> เมื่อถึงเวลา 10.30 น. เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นรถไฟดังขึ้น ริต้าก้าวขึ้นรถไฟขบวนใหม่ด้วยความตื่นเต้น หัวใจของเธอเต้นแรงเมื่อคิดถึงปลายทางข้างหน้า สุรินทร์…บ้านเกิดของบัวขาว บัญชาเมฆ นักมวยที่เธอชื่นชมมาตลอด</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>---</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>บทสนทนาในรถไฟ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานี เสียงกระดิ่งเตือนดังขึ้น ริต้าหาที่นั่งของเธอเรียบร้อย ในขณะเดียวกัน เธอสังเกตเห็นคุณยายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้าม ยายคนนั้นมองมาทางเธอและยิ้มอย่างอบอุ่น
<br> <b><br> </b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b>"หนูเดินทางไปไหนจ๊ะ?"</b> ยายถามด้วยน้ำเสียงใจดี</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"หนูจะไปสุรินทร์ค่ะคุณยาย"</b> ริต้าตอบพร้อมยิ้ม</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>"ไปเยี่ยมญาติที่นั่นเหรอ?"</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"ไม่ใช่ค่ะ หนูอยากไปดูบ้านเกิดของบัวขาว บัญชาเมฆ หนูชื่นชมเขามากค่ะ"</b> ริต้าพูดด้วยความตื่นเต้น</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>คุณยายหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบกลับ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"โอ้โห บัวขาวดังไปถึงไหนแล้วสินะ เด็กสาวสมัยนี้ก็ชื่นชมเขาไม่น้อยเลย ดีแล้วล่ะจ้ะ สุรินทร์เป็นจังหวัดที่สวยงามมาก หนูต้องชอบแน่ๆ"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดการเดินทาง บรรยากาศในรถไฟอบอุ่นและผ่อนคลาย ริต้าเริ่มรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อบัวขาว แต่เธอกำลังจะได้สัมผัสวัฒนธรรมและชีวิตใหม่ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน
</font></div><div class="roleplay-content" style="text-align: right;"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content" style="text-align: right;"><font face="Kanit" size="4">หมายเหตุ: เดินทางถึงประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และขึ้นรถไฟเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุรินทร์</font></div>
</div>
</div></container>
Rita
โพสต์ 2024-11-27 19:09:45
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Rita เมื่อ 2024-11-27 20:17 <br /><br />
<meta charset="UTF-8">
<meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0">
<title>Roleplay Box</title>
<style>
html {
background-color: #333; /* สีพื้นหลังเว็บ */
color: #fff; /* สีตัวอักษร */
font-family: Arial, sans-serif;
margin: 0;
height: 100%; /* ให้เต็มความสูงหน้าจอ */
}
.main-content {
display: flex;
justify-content: center;
align-items: center;
min-height: 100vh;
padding: 0 15px;
}
.roleplay-box {
border: 2px solid red;
background-color: black;
padding: 15px;
margin: 10px;
border-radius: 10px;
max-width: 500px;
box-shadow: 0 0 10px rgba(255, 0, 0, 0.7);
}
.character-name {
font-size: 1.2em;
font-weight: bold;
color: #ff6666;
margin-bottom: 8px;
}
.roleplay-content {
font-size: 1em;
color: #fff;
}
</style>
<container><font face="Kanit" size="4">
<!-- แทนที่การจัดการ body ด้วย div -->
</font><div class="main-content">
<div class="roleplay-box">
<div class="character-name"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><img src="https://i.imgur.com/QjBAJqg.jpeg" width="300" _height="500" border="0"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4">ชื่อ: Rita Chanakarnwarukpinit</font></div>
<div class="roleplay-content">
<font face="Kanit" size="4"><br> บทที่ 1: การเดินทางบนขบวนรถไฟลึกลับ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>หลังจากที่ริต้าสาวน้อยผู้มีเสน่ห์และความกล้าหาญ ได้พูดคุยกับคุณยายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอก็ลุกขึ้นยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่ของตัวเอง ขณะที่เธอหยิบหนังสือเล่มเล็กขึ้นมาอ่าน เสียงจังหวะของรถไฟที่วิ่งบนรางสร้างความผ่อนคลายให้เธอ </font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">แต่ทันใดนั้น...</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>ไฟในขบวนรถไฟเริ่มมีอาการติดๆ ดับๆ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>เสียงผู้โดยสารรอบข้างเริ่มกระซิบกระซาบด้วยความกังวล บางคนหันมองซ้ายมองขวา ริต้าหลับตาแน่น เธอรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่คืบคลานเข้ามา</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"ไม่น่าไว้วางใจเลย..." </b> ริต้าพึมพำ ก่อนจะยื่นมือไปใต้เบาะที่นั่ง หยิบ หอกกรีก สีเงินที่เธอพกติดตัวไว้เสมอ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>เธอยืดตัวตรง สะบัดเรือนผมสีดำเงางามของเธอเล็กน้อย สายตาคมกริบมองไปรอบข้าง</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>"ต้องมีอสุรกายตามเรามาแน่ๆ..."เธอกล่าวเสียงเย็น</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"> ทันใดนั้น!</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากผู้โดยสารด้านหลัง ริต้าหันไปทันที และสิ่งที่เธอเห็นคือ ก็อบลินตัวสูงกว่ามนุษย์ยืนตระหง่านอยู่ในเงามืด ดวงตาของมันเป็นสีแดงเพลิง พร้อมเขี้ยวแหลมที่โผล่ออกมาจากปาก</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"นี่มัน...แผนลอบโจมตีงั้นเหรอ?" </b> ริต้าเอ่ยพร้อมยกหอกขึ้น เธอยิ้มบางแต่แฝงไปด้วยความมั่นใจ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"มาสิ ถ้านายกล้าพอ!"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ก็อบลินคำรามเสียงดังและพุ่งเข้าหาเธอด้วยความเร็ว ริต้าหลบการโจมตีครั้งแรกได้อย่างเฉียดฉิว เธอหมุนตัวอย่างสง่างามและใช้หอกฟาดไปที่ขาของมัน</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>“ฉึก!</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b> เสียงหอกกระแทกเข้ากับเนื้อของมัน ทำให้ก็อบลินร้องด้วยความเจ็บปวด แต่มันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มันหยิบดาบสนิมเขรอะขึ้นมาฟาดกลับ ริต้าใช้ปลายหอกกันไว้ก่อนที่จะหมุนตัวฟาดด้านหลังของมันอีกครั้ง</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"แค่นี้เหรอ? ฝีมือนายยังช้าไป!"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ริต้าตะโกนพร้อมกับกระโดดสูง ใช้ปลายหอกแทงลงไปที่หัวใจของมันด้วยความแม่นยำ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br> <b> “ฉึก!”</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ก็อบลินล้มลงไปกองกับพื้นก่อนที่ร่างของมันจะค่อยๆ กลายเป็นเถ้าธุลี
<br> ไฟในขบวนรถไฟกลับมาติดสว่างอีกครั้ง เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นเหมือนทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ ผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ซ่อนตัวอยู่เริ่มออกมาแสดงความโล่งใจ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>ริต้ายิ้มให้กับสถานการณ์ที่สงบลง เธอเช็ดหอกกรีกของเธอเบาๆ ก่อนจะเก็บมันกลับไว้ใต้เบาะ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>“จบสักที...” </b>เธอกล่าวพร้อมนั่งลงด้วยความเหนื่อยล้า</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>รถไฟเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง และในที่สุดก็ถึงปลายทาง จังหวัดสุรินทร์ อย่างปลอดภัย ริต้าเก็บสัมภาระและเตรียมตัวก้าวลงจากขบวนรถไฟ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>แต่ในใจของเธอรู้ดี...นี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ใหญ่กว่านี้</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"อะไรก็ตามที่รออยู่ข้างหน้า ฉันพร้อมเผชิญหน้าเสมอ..." </b> ริต้าพูดกับตัวเองและ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">เดินจากไปพร้อมแสงอาทิตย์แรกที่ทอแสงขอบฟ้า
</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content" style="text-align: center;"><img src="https://i.imgur.com/eByqd0q.jpeg" width="300" _height="500" border="0"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content" style="text-align: center;"><br></div><div class="roleplay-content" style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4">แนบท้ายภาพจากการต่อสู้ในระบบค่ะ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content" style="text-align: right;"><font face="Kanit" size="4">หมายเหตุ: เดินทางถึงประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และขึ้นรถไฟเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุรินทร์ </font></div><div class="roleplay-content" style="text-align: right;"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content" style="text-align: right;"><font face="Kanit" size="4">หมายเหตุ: 2 เผชิญหน้าและต่อสู้กับก็อบลิน ได้รับสินสงคราม: หมวกก็อบลิน</font></div>
</div>
</div></container>
Rita
โพสต์ 2024-11-28 00:40:21
<meta charset="UTF-8">
<meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0">
<title>Roleplay Box</title>
<style>
html {
background-color: #333; /* สีพื้นหลังเว็บ */
color: #fff; /* สีตัวอักษร */
font-family: Arial, sans-serif;
margin: 0;
height: 100%; /* ให้เต็มความสูงหน้าจอ */
}
.main-content {
display: flex;
justify-content: center;
align-items: center;
min-height: 100vh;
padding: 0 15px;
}
.roleplay-box {
border: 2px solid red;
background-color: black;
padding: 15px;
margin: 10px;
border-radius: 10px;
max-width: 500px;
box-shadow: 0 0 10px rgba(255, 0, 0, 0.7);
}
.character-name {
font-size: 1.2em;
font-weight: bold;
color: #ff6666;
margin-bottom: 8px;
}
.roleplay-content {
font-size: 1em;
color: #fff;
}
</style>
<container><font face="Kanit" size="4">
<!-- แทนที่การจัดการ body ด้วย div -->
</font><div class="main-content">
<div class="roleplay-box">
<div class="character-name"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><img src="https://i.imgur.com/QjBAJqg.jpeg" width="300" _height="500" border="0"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><br></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4">ชื่อ: Rita Chanakarnwarukpinit</font></div>
<div class="roleplay-content">
<font face="Kanit" size="4"><br> บทที่ 1: การเดินทางสู่บ้านบัวขาว</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>เสียงหวูดรถไฟดังยาวครั้งสุดท้าย ก่อนขบวนหยุดนิ่งสนิทที่ชานชาลาสถานีรถไฟสุรินทร์ ฝุ่นควันที่ฟุ้งขึ้นจากรางรถไฟเบาบางลงเมื่อทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ ริต้า สาวน้อยวัย 15 ปี ผู้มีดวงตากลมโตและรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ ก้าวเท้าลงจากบันไดรถไฟอย่างระมัดระวัง</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>เธอถือกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กในมือหนึ่ง และกระเป๋าเดินทางขนาดกลางอีกใบ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก พลางมองไปรอบๆ ชานชาลา อากาศที่นี่ช่างแตกต่างจากในเมืองใหญ่ที่เธอจากมา ลมอ่อนๆ พัดผ่านใบหน้า เธอได้ยินเสียงพูดคุยภาษาอีสานที่คุ้นเคย</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>“ยินดีต้อนรับสู่สุรินทร์เด้อ!” </b> คนขับรถตุ๊กตุ๊กส่งเสียงทัก เมื่อเห็นริต้าเดินลงมาจากสถานี
<br> ริต้ายิ้มให้อย่างสุภาพ เธอพยักหน้าแต่ไม่ได้หยุดตอบรับ เพราะจุดหมายของเธอไม่ใช่รถตุ๊กตุ๊ก แต่เป็นรถเมล์สีแดงที่จอดอยู่ถัดไป</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>---</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>บนรถเมล์ที่มีเสียงเครื่องยนต์เก่าแก่ทำงานอย่างไม่หยุดพัก ริต้านั่งริมหน้าต่าง ชมวิวทุ่งนาเขียวขจีที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นภาพวัวควายเล็มหญ้าอย่างสงบ เธอรู้สึกได้ถึงความสงบที่เธอโหยหามานาน</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>ชายหนุ่มข้างๆ ซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทาง เอ่ยถามขึ้นเบาๆ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>“เฮาเห็นเจ้าเหมือนมาจากกรุงเทพฯ มาฮอดบ้านเฮานี่ครั้งแรกบ่?”</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ริต้าหันไปมองเขา ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ผิวสีแทนแบบคนที่ทำงานกลางแดด</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>“ใช่ค่ะ” </b> เธอตอบด้วยรอยยิ้ม <b> “แต่จริงๆ แล้วคุณแม่บุญธรรมของฉันเป็นคนที่นี่ค่ะ ฉันแค่กลับมาดูบ้านเกิดของเธอ”</b></font></div><div class="roleplay-content">
<font face="Kanit" size="4"><b><br></b> เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>“อ๋อ บ้านอยู่แถวใด๋ล่ะ?”</b></font></div><div class="roleplay-content">
<font face="Kanit" size="4"><b><br></b> <b> “บ้านบัวขาวค่ะ” </b> ริต้าตอบ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br> <b> “อ๋อ บ้านบัวขาว บัญชาเมฆใช่บ่? ที่มีค่ายมวยดังนั่นละ”</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b> <b>“ใช่ค่ะ”</b> เธอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>เขามองเธออย่างสนใจ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>“แล้วเจ้าไปเฮ็ดหยังที่นั่นล่ะ? ไปฝึกมวยบ่ หรือไปเที่ยว?”</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b> <b>“อันที่จริง ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการเล็กน้อยค่ะ เป็นเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย” </b> ริต้าพูดพลางเลี่ยงสายตา
</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content" style="text-align: right;"><font face="Kanit" size="4">หมายเหตุ: ลงจากรถไฟ ที่สถานีรถไฟสุรินทร์ และ เดินทางถึงจังหวัดสุรินทร์ บ้านเกิด ของ บัวขาว บัญชาเมฆ และกำลังขึ้นรถเมล์โดยสารไปยังบริเวณบ้าน ของ บัวขาว บัญชาเมฆ</font></div>
</div>
</div></container>
Rita
โพสต์ 2024-11-28 09:32:01
<meta charset="UTF-8">
<meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0">
<title>Roleplay Box</title>
<style>
html {
background-color: #333; /* สีพื้นหลังเว็บ */
color: #fff; /* สีตัวอักษร */
font-family: Arial, sans-serif;
margin: 0;
height: 100%; /* ให้เต็มความสูงหน้าจอ */
}
.main-content {
display: flex;
justify-content: center;
align-items: center;
min-height: 100vh;
padding: 0 15px;
}
.roleplay-box {
border: 2px solid red;
background-color: black;
padding: 15px;
margin: 10px;
border-radius: 10px;
max-width: 500px;
box-shadow: 0 0 10px rgba(255, 0, 0, 0.7);
}
.character-name {
font-size: 1.2em;
font-weight: bold;
color: #ff6666;
margin-bottom: 8px;
}
.roleplay-content {
font-size: 1em;
color: #fff;
}
</style>
<container><font face="Kanit" size="4">
<!-- แทนที่การจัดการ body ด้วย div -->
</font><div class="main-content">
<div class="roleplay-box">
<div class="character-name"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><img src="https://i.imgur.com/QjBAJqg.jpeg" width="300" _height="500" border="0"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><br></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><font face="Kanit" size="4">ชื่อ: Rita Chanakarnwarukpinit</font></div>
<div class="roleplay-content">
<font face="Kanit" size="4"><br> "บัวขาว บัญชาเมฆ: ปริศนาหัวใจแห่งสังเวียน"</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>รถเมล์คันเก่าแต่ยังคงสภาพดีจอดสนิทตรงหน้าบ้านไม้ทรงไทยประยุกต์ที่รายล้อมด้วยต้นไม้นานาชนิด กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ป่าลอยมาตามสายลม ริต้าสาวน้อยร่างเล็กในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะพายกระเป๋าเป้ข้างตัว ก้าวลงจากรถเมล์พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน เธอชำเลืองมองป้ายชื่อที่เขียนไว้ว่า <b> "บ้านบัวขาว" </b> ก่อนจะหันไปพูดกับกระเป๋ารถเมล์อย่างสุภาพ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>ริต้า: <b> "ขอบคุณค่ะ พี่ เดี๋ยวถ้าจะกลับหนูคงรอรถเมล์รอบบ่ายนะคะ" </b>
<br> กระเป๋ารถเมล์: <b> "ได้เลยหนู ถ้าหาคุณบัวขาวล่ะก็ คงอยู่แถวสวนหลังบ้านนะ ลุงเคยเห็นแกชอบไปนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ริต้าพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะเดินไปตามทางเดินเล็กๆ ที่ปูด้วยอิฐแดง ระหว่างทางมีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว เสียงสายลมพลิ้วไหวพัดใบไม้ปลิวไปมา บรรยากาศสงบจนริต้ารู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาในโลกอีกใบ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>ไม่นานเธอก็มาถึงสวนเล็กๆ หลังบ้าน ใต้ต้นจามจุรีใหญ่ เธอเห็นชายคนหนึ่งในเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขาสั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาว เขาดูเหมือนกำลังมองอะไรสักอย่างในอากาศ สายตาของเขาแฝงความเหนื่อยล้า</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>ริต้า: <b> "คุณบัวขาวใช่ไหมคะ?"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ชายคนนั้นสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองเธอด้วยสายตาสงสัย</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>บัวขาว: <b> "ใช่...ผมเอง คุณเป็นใครล่ะ?"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ริต้า: <b> "ฉันชื่อริต้าค่ะ ฉันเดินทางมาจากกรุงเทพฯ เพื่อมาตามหาคุณ ฉันได้ยินข่าวว่าคุณคิดจะถอนตัวจากการชกครั้งหน้า ฉันเลยอยากทราบเหตุผลค่ะ</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b> บัวขาวหัวเราะในลำคอเบาๆ แต่แววตาของเขากลับไม่ได้สะท้อนถึงความขบขัน
<br> บัวขาว: <b> "ข่าวมันไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ...แล้วทำไมคุณถึงต้องมาสนใจเรื่องของผมล่ะ?</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b> ริต้า: <b> "เพราะคุณคือแรงบันดาลใจของฉันค่ะ ฉันเห็นคุณต่อสู้ทั้งในและนอกสังเวียน ฉันเลยอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้คนอย่างคุณรู้สึกท้อแท้ได้ขนาดนี้"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจหนักๆ</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>บัวขาว: <b> "คุณรู้ไหม...เวลาคนเราสู้มาตลอดชีวิต บางทีมันก็มีจุดที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้สู้ต่อแล้ว ผมเหนื่อย...เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรอีก"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ริต้า: <b> "แต่คุณยังมีคนที่เฝ้ารอและเชื่อมั่นในตัวคุณนะคะ พวกเขายังต้องการแรงบันดาลใจจากคุณ"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>บัวขาวจ้องมองเธออย่างครุ่นคิด เงียบอยู่นานก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>บัวขาว: <b> "บางที...ผมอาจต้องการเวลาสักหน่อยเพื่อหาคำตอบให้ตัวเอง"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ริต้า: <b> "งั้นฉันจะอยู่ช่วยคุณตามหาคำตอบค่ะ"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>ริต้ายิ้มอย่างจริงใจ ทำให้บัวขาวรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย บทสนทนาของทั้งสองค่อยๆ ดำเนินต่อไป พร้อมกับสายลมที่พัดผ่าน ความมืดมนในใจของบัวขาวเริ่มจางลงทีละนิด…
</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content" style="text-align: right;"><font face="Kanit" size="4">หมายเหตุ: ตามหาบัวขาวพบแล้ว และเริ่มพูดคุยสืบหาสาเหตุ</font></div>
</div>
</div></container>
Rita
โพสต์ 2024-11-28 14:16:29
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Rita เมื่อ 2024-11-28 15:07 <br /><br />
<meta charset="UTF-8">
<meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0">
<title>Roleplay Box</title>
<style>
html {
background-color: #333; /* สีพื้นหลังเว็บ */
color: #fff; /* สีตัวอักษร */
font-family: Arial, sans-serif;
margin: 0;
height: 100%; /* ให้เต็มความสูงหน้าจอ */
}
.main-content {
display: flex;
justify-content: center;
align-items: center;
min-height: 100vh;
padding: 0 15px;
}
.roleplay-box {
border: 2px solid red;
background-color: black;
padding: 15px;
margin: 10px;
border-radius: 10px;
max-width: 500px;
box-shadow: 0 0 10px rgba(255, 0, 0, 0.7);
}
.character-name {
font-size: 1.2em;
font-weight: bold;
color: #ff6666;
margin-bottom: 8px;
}
.roleplay-content {
font-size: 1em;
color: #fff;
}
</style>
<container><font face="Kanit" size="4">
<!-- แทนที่การจัดการ body ด้วย div -->
</font><div class="main-content">
<div class="roleplay-box">
<div class="character-name"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><img src="https://i.imgur.com/QjBAJqg.jpeg" width="300" _height="500" border="0"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><br></div><div class="character-name" style="text-align: center;"><font size="4" face="Kanit">ชื่อ: Rita Chanakarnwarukpinit</font></div>
<div class="roleplay-content">
<font face="Kanit" size="4"><br> <b> "ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความเงียบและการครุ่นคิด ริต้าได้แสดงถึงความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือคุณบัวขาว บัญชาเมฆ หลังจากที่เธอได้ฟังปัญหาและความรู้สึกของเขาอย่างลึกซึ้ง ริต้าเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ผสมผสานระหว่างการปรับทัศนคติและสร้างแผนการฝึกซ้อมใหม่ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>เธอกล่าวกับเขาอย่างหนักแน่นว่า</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br> <b>"คุณบัวขาว ทุกคนล้มได้ แต่สิ่งสำคัญคือคุณลุกขึ้นมาสู้ต่อได้หรือไม่ ไฟในตัวคุณยังไม่มอด เพียงแค่ต้องหาทางเติมเชื้อไฟนั้นให้ลุกโชนอีกครั้ง ฉันเชื่อว่าคุณทำได้ เพราะคุณคือแรงบันดาลใจของหลาย ๆ คน"</b></font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><b><br></b>เธอแนะนำให้เขากลับไปที่จุดเริ่มต้น สถานที่ที่เขาเริ่มฝึกมวยครั้งแรก เพื่อค้นพบความหมายที่แท้จริงของการชกมวยอีกครั้ง นอกจากนี้ ริต้ายังเสนอแนวทางการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในวงการมวย รวมถึงการสร้างทีมที่สามารถสนับสนุนเขาในทุกด้าน</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>คำพูดของริต้าสะท้อนเข้าไปในใจของบัวขาว เขาเริ่มทบทวนชีวิตและสิ่งที่เขาทำมาตลอด และในที่สุดเขาก็ยิ้มขึ้นมาพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาเอ่ยขอบคุณริต้าและยืนยันว่าเขาจะกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4">
<br>ด้วยความช่วยเหลือและกำลังใจจากริต้า บัวขาวตัดสินใจเริ่มต้นเส้นทางใหม่ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ ๆ ในปีหน้า!
</font></div><div class="roleplay-content"><font face="Kanit" size="4"><br></font></div><div class="roleplay-content" style="text-align: right;"><br></div>
</div>
</div></container>