Dean โพสต์ 2024-5-1 01:43:06

Mackenzie ตอบกลับเมื่อ 2024-4-30 01:30
09/3. Paris Day 21

[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]


https://lh7-us.googleusercontent.com/XBUdEcQzLrDzMO8HJiQoCidJ1B7EGAy1EQDfUGsryicB1Bjh6_BIurX0ZM_z9eG2qD_bEjqxdM9WuZ07LvHQakEHUwREvNQnPbbqWP7BaquseIGkxBEytJREPm0OUsRz-NTeJQ0JamxiPOF4gF5ooRA108https://lh7-us.googleusercontent.com/Cr28DfPtSzGSJT5HZxGN2B7AiUQ1pX06ISxvHssAe6iCsK2P_B1EWWbozZpYphPjXg3uGoDs0bXBk0CRF72P86NRai0KQo0yCzoMhLWYwUuuGhMWyYbe1p_RHaPv_MuOEZqve-BFmpN5PRYUkg-vBW4Paris Day 3 - บ๊ายบายปารีส งวดหน้าเดี๋ยวแก้มือใหม่
             วันสุดท้ายของการเดินทาง
             “แมคซี่ นายเป็นไงบ้าง?”
             ดีนเอ่ยถามเพื่อนที่ถูกก็อบลินหกตัวรุมยำมาเมื่อคืนด้วยความห่วงใย แม้บาดแผลของอีกฝ่ายจะหายดีจากไอเท็มวิเศษแต่ที่สิ่งที่แย่กว่านั้นเขากลัวว่ามันจะกลายเป็นแผลในใจของอีกฝ่ายทำให้หวาดกลัวอสุรกายจนไม่กล้าต่อสู้ไปเลยหรือเปล่า แต่ความจริงถึงเป็นเดมิก็อดก็ไม่จำเป็นจะต้องสู้ ยังมีที่ทางเหลือให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตในค่าย อาจเป็นพนักงานร้านคาเฟ่ ชาวสวน คนส่งของ หรือผู้ดูแลบ้าน จะอยู่ในฮาล์ฟบลัดไปจนแก่อย่างทีน่าเลยก็ย่อมได้
             โทษทีผิดไปหน่อย… ทีน่ายังไม่แก่ แต่อีกยี่สิบหรือสามสิบปีเธอก็จะแก่เป็นป้าเฝ้าค่ายไม่ผิดจากที่เขาเกริ่นไว้หรอก
             แต่ใด ๆ คือดีนรู้สึกผิด เขาเหมือนพาเพื่อนมาถูกกระทืบยังไงก็ไม่รู้ ในคืนแรกที่แมคเคนซีสู้ (?) กับก็อบลินหนึ่งตัวที่สวนลุกซ็องบูร์ได้โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน จึงทำให้ดีนชะล่าใจเกินไป เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะรับมือกับอสุรกายอื่น ๆ ได้ เพราะแต่เดิมแมคเคนซีต่อสู้กับนักเลงกลุ่มหนึ่งได้ง่าย ๆ แต่นักเลงกับอสุรกายก็คนละเรื่องกัน สัตว์ประหลาดเหล่านั้นไม่อาจเจ็บได้ด้วยหมัด ต้องมีทักษะการใช้อาวุธสัมฤทธิ์ที่มากพอถึงจะโค่นล้มพวกมันได้
             แล้วดีนมีทักษะที่มากพอแล้วหรือ… คำตอบคือไม่ แม้ว่าเขาจะสอบวัดระดับผ่านขั้นแรก แต่ ‘ไม่’ ก็คือ ‘ไม่’ อยู่ดี
             เพราะคิดว่าตัวเองสู้ไม่เก่งมาโดยตลอดแถมยังเข้าคลาสฝึกแค่สี่ครั้ง ชายหนุ่มจึงคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ต่อสู้ได้แย่ที่สุดในระดับรั้งท้ายของค่ายฮาล์ฟบลัด ส่วนที่เขาพิชิตอสุรกายต่าง ๆ มาได้เป็นเพราะโชคช่วย คนในค่ายคนอื่น ๆ ที่ต่อสู้เก่งกว่าก็น่าจะล้มปีศาจเหล่านั้นได้สบาย
             ซึ่งเขาคิดผิด สายเลือดของสามมหาเทพมีพลังมากกว่านั้น มันได้แสดงให้เห็นเมื่อคืนนี้แล้วว่ามือใหม่ในสนามสู้มีพลังมากกว่าคนเจนสังเวียนมวยแต่ไร้พลังเสริมมากแค่ไหน
             เป็นพรสวรรค์ที่เขาไม่อยากมีเลยจริง ๆ
             @Mackenzie
             “แน่ใจนะ?”
             ถึงจะรู้ว่าเมื่อได้รับน้ำทิพย์ในการรักษาบาดแผลจะหายเป็นปลิดทิ้งก็ตามแต่ก็ยังอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี หวังว่าเขาจะไม่ทำตัวเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเกินไปจนดูน่ารำคาญ
             “อื้ม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ “งั้นสมมุติว่าถ้าพวกเราเจอตัวอะไรกลางทางอีกนายก็หลบหลังฉันเอาไว้นะ คราวนี้ฉันจะไม่ยอมโดนมันหลอกอีกแน่ ๆ”
             ก็ใครจะรู้เล่าว่าพวกก็อบลินมันจะมีแผนการอันแยบยลอย่างการล่อศัตรูที่เก่งกว่าออกมาแล้วรุมยำคนที่อ่อนแอกว่ากันล่ะ
             ก่อนหน้านี้เห็นทำแต่อะไรโง่ ๆ อยู่ตลอด…
             @Mackenzie
             “อีกรอบเหรอ เมื่อคืนก็เช็คจนตาแฉะ” ดีนหัวเราะเบา ๆ แล้วทำมือหยำ ๆ เป็นปลาหมึก “เอาเถอะ ๆ ยังไงฉันก็จะไม่ให้นายบาดเจ็บอีกเด็ดขาด สัญญาเลย” เปลี่ยนมาชูสามนิ้วขึ้นสัญญา “ว่าแต่ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม? ถ้างั้นก็ไปเช็คเอาต์กัน”
             ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวามองไปทั่วท้อง เมื่อพบว่าไม่ลืมอะไรแล้วก็สะพายเป้ขึ้นบ่าแล้วหยิบช่อดอกทิวลิปขึ้นมา กลีบดอกโรยไปนิดหน่อยแต่ยังไม่ถึงกับเหี่ยวเฉาเพราะอุณหภูมิในห้องเหมาะสมจึงความสดไว้ได้ แต่มีวิธีไหนไหมนะที่จะคงความสดของดอกไม้ช่อนี้ตลอดไป
             หลังจากตกลงกันแล้วสองหนุ่มเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าหลังรับประทานอาหารกันเสร็จ แบกเป้ออกตะลอนเที่ยวกันต่อคล้ายกับนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค ติดตรงที่ว่าคนหนึ่งเหน็บท่อแป๊บส่วนอีกคนเหน็บตะหลิวไม้พายและตะกร้อมือ แน่นอนว่าชาวปารีเซียงมองพวกเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแต่ว่าใครแคร์กันล่ะ
             จากนั้นก็เคลื่อนย้ายกันไปที่อควาเรียมแห่งกรุงปารีส เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในย่านโทรคาเดโรฝั่งตรงข้ามกับหอไอเฟล เพลิดเพลินไปกับสัตว์น้ำกว่าห้าร้อยชนิดในตู้กระจกขนาดใหญ่ ไฮไลท์ของที่นี่น่าจะเป็นโชว์นางเงือกว่ายน้ำเล่นกับฝูงปลา แม้ว่าดีนจะเคยเห็นเงือกตัวเป็น ๆ มาก่อนแต่เขาก็อดที่จะตื่นเต้นกับนางเงือกจำแลงในตู้ปลาไม่ได้ พวกเธอว่ายน้ำกันเก่งมากทั้งที่ใส่หางปลอมไว้ตลอดการแสดง
https://i.imgur.com/InhSqHs.png

             ‘จะมีใครในนั้นที่เป็นพี่น้องของฉันบ้างหรือเปล่านะ?’
             อดคิดไม่ได้เพราะว่าพ่อของเขาก็ไปซะทั่ว บางทีเทพโพไซดอนอาจจะว่ายน้ำขึ้นมาโผล่ที่แม่น้ำแซนก็ได้ใครจะไปรู้
             ‘...แต่ว่าเสียงที่เข้ามาในหัวเมื่อคืนคือใคร?’
             หลังจากเดินเที่ยวที่อควาเรียมกันจนทั่วพวกเขาก็แวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่คาเฟ่ริมน้ำแซนก่อนที่จะไปยังสถานที่สุดท้ายของทริปทัวร์นั่นก็คือหอไอเฟล
https://i.imgur.com/i4xhOQB.png

             @Mackenzie
             แต่แค่ได้เที่ยววันสุดท้ายโดยไม่ยกเลิกโปรแกรมก็ทำให้ดีนเปรมปรีดิ์จนยิ้มแก้มปริ
             “นั่นสิ เรายังไม่ได้ไปตั้งหลายที่ โรงอุปรากรณ์ พระราชวังแวร์ซาย แล้วยังดิสนีย์แลนด์อีก แต่ว่ารอบนี้พวกเราไม่ต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินได้แค่นี้ก็โอเคแล้วล่ะเนอะ ถ้ามาคราวหน้าเราวางแผนสักสัปดาห์นึงดีกว่าจะได้เที่ยวจนทั่ว”
             เมื่อพวกเขาเดินออกจากอควาเรียมข้ามสะพานเยนาเพื่อไปหอไอเฟลพวกเขาทั้งสองก็ถูกผู้หญิงคนหนึ่งดักทางเอาไว้ ในมือของเธอเต็มไปด้วยแบบสอบถามอะไรสักอย่าง
             “ขอโทษนะค้า กรุณาช่วยทำแบบสอบถามเรื่องความสะอาดของแม่น้ำแซนได้หรือเปล่าคะ?” เธอเอ่ยถาม
             ดีนเกือบจะยื่นมือไปรับแล้วแต่เขาเอะใจได้บางอย่าง
             ‘ทริปฝรั่งเศสของฉันแย่มาก ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ทำแบบสอบถามแล้วก็มีพวกมันอีกคนมาล้วงกระเป๋าฉันตอนเผลอ ถ้านายไปฝรั่งเศสอย่างหลงกลเชียวล่ะดีน’
             เขานึกถึงคำของ ‘แนนซี่’ เพื่อนรุ่นพี่ที่ค่อนข้างสนิทกันในคณะวิทยาศาสตร์ ตอนนั้นที่นางเตือนดีนก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไรเพราะคนที่ฐานะไม่ได้ร่ำรวยมากมายอย่างเขาคงไม่มีปัญญามาเที่ยวปารีสได้แน่ ๆ และยังมีอีกหลายเรื่องที่เพื่อนสาวของเขาบ่นจนหูชาไปเป็นอาทิตย์ ส่วนมากก็เป็นเรื่องมิจฉาชีพ โจรขโมยกระเป๋า และต่าง ๆ อีกมากมาย เพราะว่าทริปนี้ค่อนข้างราบรื่นดีนจึงแทบจะลืมด้านมืดของฝรั่งเศสไปเสียสนิท
             “อ้อ พอดีว่าผมรีบ ขอโทษด้วยนะครับ”
             เขาพยายามปฏิเสธอย่างสุภาพแต่ก็ถูกเธอดักทางไว้ไม่ยอมปล่อย
             “แล้วถ้าข้าบอกว่าอยากจะกินแกทั้งคู่ล่ะ?”
             “ห๊ะ!?”
             เพียงสิ้นเสียงอุทานหญิงสาวผู้แจกแบบสำรวจก็กลายร่างกลายเป็นไซคลอปส์ตัวใหญ่ แล้วกองกระดาษที่เคยถือไว้ก็กลายเป็นค้อนสายฟ้า
             “แมคซี่ระวัง!!”
             ดีนเข้ามาขวางกันเพื่อนรักไว้ด้านหลังพร้อมยัดช่อดอกไม้ที่ถือใส่มือของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะชักหอกที่อยู่กลางหลังควงขู่เตรียมพร้อมสู่การต่อสู้ ดีนเคยพิชิตไซคลอปส์มาครั้งหนึ่งแล้ว พอจะรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของมัน
             “แมคซี่ ตัวนี้มันฟาดสายฟ้าออกจากค้อนได้ นายระวังนะ!”
             เมื่อช่างประปาควงท่อแป๊บสายฟ้าในมือกลุ่มนักท่องเที่ยวบนสะพานเยนาก็แตกฮือ ภาพที่คนอื่นเห็นคงเป็นนักท่องเที่ยวไม่พอใจสาวแจกแบบสอบถามเลยใช้กำลังตีหัว บางทีใครบางคนในนั้นอาจจะกำลังโทรเรียกตำรวจ
             คำว่าเปิดก่อนได้เปรียบไม่เกินจริง ดีนวิ่งไปข้างหลังด้วยความว่องไวซึ่งเป็นจุดแข็งของเขาจากนั้นก็แทงหอกใส่ไซคลอปส์ร่างยักษ์จากด้านหลังตัดกำลังที่ข้อเท้า
             “อ๊ากกกก!!”
             ไซคลอปส์ร้องอย่างเจ็บปวด แม้ว่ามันจะแรงเยอะแต่ก็ชักช้างุ่มง่าม มันยกค้อนขึ้นเหนือหัวรวบรวมสายฟ้าไว้ที่ค้อนเตรียมฟาด
             “ช้าไปพวก!”
             เห็นจังหวะนั้นดีนจึงได้ทีแทงหอกใส่มันไปอีกสองสามแผล ลำตัวของไซคลอปส์บางส่วนกลายเป็นผงแต่ว่ามันยังไม่ตาย อสุรกายฝืนใช้แรงเฮือกใหญ่ฟาดค้อนใส่แต่โดนราวสะพานจนคอนกรีตที่กั้นสะพานแตกร้าวสายฟ้าบางส่วนไหลไปทั่ว
             “เวร!”
             ดีนสบถ ตรงนี้มีคนอยู่เยอะเกินไปอาจจะโดนลูกหลง เขาไม่รู้ว่านักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่ทรุดลงไปเป็นเพราะสายฟ้าของอสุรกายหรือว่าอะไร ชายหนุ่มคงช่วยเหลือทุกคนไม่ได้แค่หลบสายฟ้าก็ยากเย็น แล้วเขาก็โดนไฟฟ้าอ่อน ๆ ช็อตจนตัวชา ทำให้ความเร็วตกลงไปหลายส่วน
             ถ้าช่วยไม่ได้ก็ต้องรีบจัดการ!
             ชายหนุ่มวิ่งวกไปด้านหลังของอสุรกายตาเดียวที่หวดค้อนสายฟ้าอย่างบ้าคลั่ง ใช้คมหอกปัดป้องค้อนที่ฟาดลงมาเกิดเสียงดังพรั่นพรึงแต่คนธรรมดาอาจไม่ได้ยินเสียงนั้น จำเป็นต้องแลกแม้ว่าจะเจ็บตัวสักหน่อย ดีนเสี่ยงฝ่าห่าค้อนเข้าไปเพื่อแทงหอกใส่ไซคลอปส์ตนนั้นจนร่างสลาย จากนั้นเขาก็ทรุดลงคุกเข่าอยู่กับพื้น
             ปฏิกิริยาของชาวเมืองจากที่แตกตื่นเพราะการต่อสู้เปลี่ยนไป พวกเขาแค่ตกใจที่จู่ ๆ ก็มีคนหกล้มบนสะพาน แล้วก็เดินเล่นกันต่อโดยไม่สนใจวงต่อสู้นั้นอีก
             “แฮ่ก.. แฮ่ก…”
             แม้จะไม่มีบาดแผลให้เห็นแต่ดีนก็ถูกไฟฟ้าจากค้อนช็อตทำให้เขาขยับตัวไม่ได้ไปสักพัก
             @Mackenzie
             “ฉันโดนไฟฟ้าช็อต ชาชะมัด”
             ตอบกลับแมคเคนซีลิ้นเปลี้ย ๆ แม้ปริมาณไฟฟ้าที่ได้รับจะไม่มากจนถึงตายหรือเกิดบาดแผลไหม้แต่ก็ทำให้เดมิก็อดหนุ่มแทบไร้เรี่ยวแรง อาจเพราะเกราะที่สวมใส่อยู่ใต้แจ๊คเก็ตยีนส์ตัวเก่งล่ะมั้งถึงทำให้เขาไม่ได้รับบาดแผลฉกรรจ์จนต้องเอาน้ำทิพย์มาราดหรือกระโดดลงแม่น้ำแซนเพื่อเยียวยา
             “ไม่เป็นไร พักนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย”
             ดีนหลบมุมมาพิงราวสะพานคอนกรีตที่ไม่พังแล้วดื่มน้ำแก้เหนื่อย เขามองเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กรูกันมาบนสะพานเยนาเพราะได้รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาท แต่เมื่อไม่พบความผิดปกติอะไรตำรวจปารีสเหล่านั้นก็พูดคุยกันเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เขาฟังไม่ออก แต่ให้เดาก็คือ ‘มีพวกแจ้งความเท็จมาป่วนเมืองแน่ ๆ’ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
             แต่สำหรับสายตาของเดมิก็อดนั่นกลายเป็นภาพตลกร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อ
             พักจนหายเหนื่อยแล้วก็มีแรงเดินต่อไปที่หอไอเฟล จะอธิษฐานเรียกเทพีอะโฟรไดท์มารับตัวจากด้านล่างก็รู้สึกว่าธรรมดาเกินไป หากมาถึงปารีสแล้วไม่ได้ขึ้นไปชั้นสูงที่สุดก็เหมือนมาไม่ถึง เขาจึงตัดสินใจใช้เงินครั้งสุดท้ายในฝรั่งเศสไปกับการซื้อตั๋วเข้าชมโครงเหล็กที่ตั้งตระหง่านเกือบพันฟุตเพื่อขึ้นไปชมวิวปารีสจากมุมสูง
             ปกติแล้วการขึ้นชมหอไอเฟลต้องใช้เวลาเข้าคิวรอร่วมชั่วโมง แต่ความสะดวกที่มาในนาม ‘เจ๊อะโฟรไดท์’ (ล่ะมั้ง) ทำให้พวกเขารอคิวขึ้นไปเพียงแค่ห้านาที แถมคนบนนี้ยังน้อยจนรู้สึกได้ว่าเป็นทริปส่วนตัว
             “เดิมทีหอไอเฟลถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์แสดงสินค้าระดับโลกล่ะ แล้วก็เพื่อเฉลิมฉลองให้กับการครบรอบหนึ่งร้อยปีของการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วย”
             ไกด์เถื่อนเริ่มอธิบาย ข้อมูลตรงนี้ถูกเพราะว่าเขาเอามาจากคู่มือการท่องเที่ยว แต่ข้อมูลต่อไปนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการฟังเยอะมาก ๆ
             “ฉันเคยฟังพอดแคสต์นึงเกี่ยวกับเรื่องแปลก ๆ ในโลก ไม่รู้ว่าจริงไหมแต่ว่าโคตรสนุก เรื่องมันมีอยู่ว่า… ตอนแรกคนฝรั่งเศสไม่ค่อยชอบหอไอเฟลเท่าไรเพราะดีไซน์มันค่อนข้างขัดกับสถาปัตยกรรมในปารีส ซึ่งก็.. คงจะใช่”
             ชะโงกมองลงไปข้างล่างจากจุดชมวิวเห็นมีแต่อาคารทรงบาโรก เรเนซองส์ อะไรต่อมิอะไรที่มาจากยุคกลางเต็มไปหมด
             “เพราะงั้นถึงหอไอเฟลจะยิ่งใหญ่แต่คนปารีสก็ไม่ค่อยจะเหลียวแล แล้วทีนี้มีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเป็นนักต้มตุ๋นหลอกคนมาเยอะ เขาเป็นใครฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่วีรกรรมสุดโต่งของไอ้หมอนี่ก็คือหลอกขายหอไอเฟลให้คนอเมริกันเอาไปทำเป็นหอกระจายเสียง แถมยังหลอกได้ตั้งสามครั้งแน่ะ ครั้งที่หนึ่งกับสองรอด แต่มาถูกตำรวจจับได้เพราะว่าคนที่สามไปแจ้งความ คนเล่าบอกว่าเหยื่อรายที่หนึ่งกับสองไม่ยอมแจ้งความเพราะกลัวหน้าแตก เหลือจะเชื่อเลยสิ!”
             ดีนหัวเราะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็ฮาอยู่ดี
             “แล้วยังมีคนที่มาทดสอบว่าถ้าใช้ผ้าร่มกางออกแล้วกระโดดลงมาจากยอดหอคอยจะสามารถบินเหมือนนกได้ไหม สรุปก็คือตกลงมาซี้แหงแก๋”
             แล้วเรื่องโม้ก็จบลงเพียงเท่านี้
             @Mackenzie
             “อาจจะไม่แปลกก็ได้มั้ง ตอนนั้นคงอยู่แถว ๆ ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม การติดต่อสื่อสารยังต้องเขียนจดหมายกันอยู่เลย คนอเมริกาไม่รู้หรอกว่าเสาไอเฟลมันหน้าตาเป็นยังไง แต่ยอมทุ่มเงินซื้อเป็นแสนเหรียญโดยไม่เห็นสินค้ากับตาเนี่ยโคตรจะบ้าบิ่นเลย”
             ถ้าสมัยนี้คงคล้ายกับสั่งสินค้าจากแอมะซอนแล้วต้องมาลุ้นว่าของที่ได้ตรงปกหรือเปล่า วิทยาการของโลกที่ต่างกันร่วมร้อยปีพัฒนาไปไวจนต้องทาบอกแล้วอุทานว่า ‘โอ้ พระเจ้า!’ อนาคตอาจมีเครื่องวาร์ปที่ไม่ใช่จากเทพบันดาลเกิดขึ้นได้ไม่เกินจริง
             “เจ้าตัวนั้นคือไซคลอปส์ เป็นยักษ์ตาเดียวที่มีค้อนปล่อยสายฟ้าได้ ฉันเคยสู้กับมันครั้งแรกตอนไปบัลติมอร์ ตอนนั้นมันจับคนงานลงหม้อต้มซุป ดีนะที่ไปช่วยเอาไว้ได้ทัน”
             ดีนเล่าเรื่องอสุรกายและการเดินทางของเขาราวกับเป็นเรื่องธรรมดาขณะที่เกาะราวเหล็กที่ล้อมด้วยลูกกรงอีกชั้นเพื่อชมวิวปารีสด้านล่างในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
https://i.imgur.com/ZiZdOBd.png

             ‘อาาา โรแมนติกเป็นบ้า!!’
             ดินเหลือบสายตามองคนข้าง ๆ บรรยากาศเป็นใจเสียจนอยากจะจุ๊บริมฝีปากสีกุหลาบประดับเม็ดไฝเสน่ห์นั่นสักทีนึง

             “แมคซี่…”
             ฝ่ามือแกร่งขยับเข้าหามือของอีกคน ปลายนิ้วก้อยเกี่ยวที่หลังมือของแมคเคนซีแล้วโน้มเข้าหา
             แต่เขาก็ต้องรีบผละออกแล้วไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัวเมื่อมีเด็กแปดขวบวิ่งผ่านหลัง แล้วผู้ปกครองซึ่งน่าจะเป็นชาวจีนวิ่งไล่ตาม พูดอะไรบางอย่างเสียงดังโช้งเช้ง
             “อะแฮ่ม! คือ.. ฉันคิดว่าเราน่าจะได้เวลากลับค่ายกันแล้วล่ะ หรือ.. หรือถ้านายอยากจะดูวิวต่ออีกหน่อย…”
             @Mackenzie
             “งี้แหล่ะคนโลภ” ดีนไหวไหล่ แล้วต้องส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับไปเมื่อได้รับคำชม “ขอบคุณ ก็ไปมาแค่สองสามที่เอง ฉันยังไม่เก่งหรอก ถ้านายได้ฝึกจริงจังล่ะก็ต้องเก่งกว่าฉันแน่ ๆ นายเชื่อสิ”
             เมื่อก่อนเป็นแมคเคนซีที่ปกป้องเขามาโดยตลอด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าดีนจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยพรจากพ่อที่มอบให้มาเยอะแยะ ดีนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เป็นฝ่ายปกป้องเพื่อนบ้างจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นเมื่อคืน ไม่แน่ว่าหากแมคเคนซีได้รับพรจากเทพีเฮคาทีอาจจะเก่งกว่าเขาก็ได้ ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่านางจะเป็นเทพีที่เกี่ยวกับแม่มดหรือเวทมนตร์อะไรทำนองนั้นใช่ไหม? แบบนี้แมคเคนซีก็กำลังจะกลายเป็นแฮร์รี่ พ็อตเตอร์สินะ เขาอยากได้พลังแบบนั้นมากกว่าอีก จะได้เสกแบงก์ดอลลาร์ออกมาเยอะ ๆ แล้วไปเที่ยวแบบนี้ให้ฉ่ำ ๆ
             แต่ก็หยุดความคิดนี้ไว้ก่อนเพราะมันไม่เป็นจริง ความจริงคือพวกเขาจะต้องกลับไปที่ค่ายฮาล์ฟบลัดให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นได้เป็นโฮมเลสที่ฝรั่งเศสแน่ ๆ ตอนนี้ยอดบัตรเครดิตพุ่งไปไกลแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้
             “ใช่ ทำแบบนั้นเลย ภาวนาถึงเทพี ขอให้ช่วยพาเราส่งกลับไป นายลองทำดูสิแมคซี่ เผื่อว่าวันไหนที่นายต้องขอความช่วยเหลือจากทวยเทพจะได้ทำถูก ส่วนเรื่องจับมือ…”
             ดวงตาสีเปลือกไม้เสมองลงไปยังมือของทั้งสองที่เพิ่งผละออกจากกัน
             “ฉันไม่รู้ แต่ถ้าเทพีอะโฟรไดท์บอกว่าต้องจับก็คงต้องจับล่ะมั้ง”
             ถึงแม้เขาจะไม่มั่นใจว่านางแค่แกล้งหยอกเด็กหนุ่มตามประสาเทพนักรักหรือเปล่าก็ตามที แต่ตอนนี้มือข้างที่ว่างได้เลื่อนไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้หลวม ๆ ส่วนมืออีกข้างยังคงประคองช่อทิวลิปสีส้มไว้อยู่
             @Mackenzie
             “กำลังคิดถึงข้ากันอยู่หรือเปล่า?”
             เทพีอะโฟรไดท์ปรากฏตัวในชุดเดรสสีแดงสดและรองเท้าส้นสูงคริสเตียนลูบูแตงราวกับว่ามางานปารีสแฟชั่นวีคหรือไม่ก็เตรียมดินเนอร์สุดหรูที่ร้านคาเฟ่สามร้อยปีที่พวกเขาไปทานอาหารกันมาในวันแรก ท่าทางของนางผ่อนคลายสบาย ๆ คล้ายกับมาเที่ยวตากอากาศในเมืองที่ขจัดสิ่งปฏิกูลจนหมดแล้ว
             “ขอบคุณพวกเจ้าที่ทำภารกิจนี้จนสำเร็จแม้จะล้มลุกคลุกคลานไปเสียหน่อยแต่ว่าข้าก็เห็นถึงความกล้าหาญนั้น”
             นางแย้มยิ้มให้สองหนุ่มโดยประโยคหลังคล้ายตั้งใจส่งสายตาไปทางแมคเคนซี แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ในศึกก็อบลินแต่นางมีทีท่าประทับใจอยู่ไม่น้อยกับความใจสู้ของชายหนุ่ม จากนั้นนางก็เลื่อนสายตามาทางดีนพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นฉงน
             “ดอกทิวลิปสีส้ม ความสุขที่อบอุ่น แรงบันดาลใจที่ดี พร้อมที่จะเป็นพลังบวกและอยู่เคียงข้างกัน” เทพีอะโพรไดท์หัวเราะแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าคิดว่าไม่ได้สื่อถึงข้าสักเท่าไรแต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ”
             “ไม่! นี่ของผม”
             ดีนกอดช่อดอกไม้ไว้แน่นด้วยมือเพียงข้างเดียวเมื่อเห็นว่าเทพีกำลังจะยื่นมือออกมา ท่าทางนั้นยิ่งทำให้นางรู้สึกขำขัน
             “ดูเหมือนว่าที่ปารีสจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นสินะ”
             ดวงตาคู่งามหรี่ลงอย่างมีนัยยะ แม่ก็คือแม่ และแม่รู้ทัน
             “เอ่อ.. ผมไปดูมาแล้วนะครับ รูปปั้นเทพีวีนัส ส่วนคำตอบก็คือท่านงามกว่าเห็น ๆ”
             ดีนรีบเปลี่ยนเรื่องในทันทีเมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาที่ทำให้หนาวไปถึงหลัง
             “ใช่ไหมล่ะ! เป็นข้านี่แหล่ะเทพีที่งดงามที่สุด!”
             เทพีอะโฟรไดท์ดูจะชอบอกชอบใจกับคำตอบนี้ยิ่งกว่าเรื่องไหน ๆ ทำเอาดีนงงจนต้องหันไปมองเพื่อน คนที่ดีใจเพราะว่าตัวจริงสวยกว่ารูปปั้นเนี่ยนะ.. เออ คงมีแหล่ะ ชายหนุ่มไม่กล้าถามซักไซ้เพราะกลัวไม่ได้กลับไปค่ายจึงได้แต่ยิ้มหวาน ๆ ตอบกลับนาง
             “ตอนนี้ปารีสสะอาดหมดจดทีเดียวเชียว และนี่คือรางวัลที่ข้าจะมอบให้พวกเจ้า”
             โฉมงามก้าวขาออกมาข้างหน้าจากนั้นนางก็สะบัดมือคล้ายกับเสกมนตร์อะไรสักอย่าง ละอองสีทองลอยล่องไปตามความพริ้วไหวก่อนจะก่อตัวเป็นรูปทรงของดอกกุหลาบสองดอก นางปักมันไว้รวมกับดอกทิวลิปที่มีร่องรอยของความเหี่ยวเฉา
             “กลับไปแล้วก็ไปแบ่งกันเองล่ะ” จากนั้นนางก็ก้าวถอยหลังกลับมายืนในตำแหน่งเดิมและดีดนิ้ว “เอาล่ะ ข้ารีบ เดี๋ยวมีนัดดินเนอร์ต่ออีก.. ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปที่ทะเลสาบกลางค่าย เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ”
             “ครับ”
             ดีนรับคำจากนั้นก็กระชับมือกับแมคเคนซีแน่นขึ้น ละอองแสงสีทองล้อมรอบตัวพวกเขาอีกครั้งจนภาพทั้งหมดสว่างจ้า รู้ตัวอีกทีทั้งสองก็ถูกส่งตัวมาถึงทะเลสาบกลางค่ายแล้ว
             แม้น่าเสียดายที่ทริปฝรั่งเศสต้องจบลง แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา การเที่ยวครั้งนี้ก็ถือเป็นหนึ่งความทรงจำอันแสนวิเศษที่เขากับเพื่อนสนิทมีร่วมกัน ตอนนี้ดีนแทบจะอดใจอัพรูปลงสตอรี่ไม่ไหว แต่คงต้องปล่อยให้ตัวเขาในวันพรุ่งนี้จัดการแทนแล้วล่ะ
             และสุดท้ายก็ได้รู้ความหมายของดอกทิวลิปสีส้ม…
             ‘คือแบบนี้เองสินะ …สมกับเป็นนายชะมัดเลยแมคซี่’
             @Mackenzie
https://lh7-us.googleusercontent.com/bJ8fMXD1l6Jho7rwKn7lgks9wcMDvM_Ol_h-S1D5Wd_u7rLcQe46nY3yG5H7xMV70IWE4Nk-3dOnJTJaERAtXodbUHzdLCi2jNJ41Ty_WlJMlhUstbEBuN_d9PEp-L_uJy2PqprVFJfZYCdEN1QGA-khttps://i.imgur.com/PW7eidZ.png
สำเร็จภารกิจ: เผชิญหน้ากับกองทัพก็อบลิน
รางวัล: 40 EXP , +12 ดรักม่า , +30 กล้าหาญ , ดอก(กุหลาบสี)ทอง 1 ดอก
ความโปรดปรานจากอะโฟร์ไดท์ +35 แต้ม
HEROES (วีรบุรุษผู้โปรดปราน) โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +25

Mackenzie โพสต์ 2024-5-1 01:56:33

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mackenzie เมื่อ 2024-5-1 01:57

Dean ตอบกลับเมื่อ 2024-5-1 01:43
108Paris Day 3 - บ๊ายบายปารีส งวดหน้าเดี๋ยวแก้มือใหม่
          ...
09/4. Mission Completed1https://i.imgur.com/ZP7G7iY.png
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“โอเคดีแล้ว มีแรงพาเจ้าหมาไปเดินเล่น”
แมคเคนซีตอบแล้วยิ้มให้ พอได้พกผ่อนอย่างเพียงพอร่างกายก็ฟื้นฟูได้ไว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเขาจะอยู่ที่ปารีสแล้ว ถึงภารกิจจะเสร็จเรียบร้อยแต่ไม่สวยงามนักเพราะเขาดันเสียท่าให้ฝูงก็อบลินซะก่อน แต่ภารกิจที่ว่าจะพาดีนเที่ยวเล่น (แม้ในความจริงจะเป็นดีนพาเขาเที่ยวเสียมากกว่า) ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
“วันนี้พวกเราไปเช็คเอาท์ ไปเที่ยว แล้วค่อยกลับกันใช่ไหม”
เขาถามแพลนคร่าว ๆ ของวันนี้ ส่วนที่ว่าจะไปที่ไหนบ้างก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ดีนเหมือนเดิม
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“แน่ใจ นายจะลองเช็คร่างกายฉันอีกรอบก็ได้นะ”
เขาแกล้งบอกอีกฝ่ายยิ้ม ๆ อย่างมีนัยยะ ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวานดีนก็ดูเป็นห่วงเขามากขึ้น น่าแปลกที่แมคเคนซีรู้สึกดี
“หลบหลังเหรอ ไม่เอาน่า ถึงฉันจะยังอ่อนหัดในการสู้กับสัตว์ประหลาดแต่ก็จะไม่ทำตัวเป็นภาระนายแน่ ๆ”
พอถูกบอกแบบนั้นก็ส่ายหน้าพั่บ ๆ
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

เห็นดีนทำมือแบบนั้นแมคเคนซีก็หัวเราะน้อย ๆ เป็นอันว่าเข้าใจตรงกัน
“ไม่เป็นไรน่า ต่อสู้กันก็ต้องได้แผลเป็นเรื่องธรรมดา”
เรื่องแบบนี้เขาเข้าใจดี ไม่มีการต่อสู้ใดที่ไร้บาดแผล การแพ้ชนะเองก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน หากยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ก็ต้องกลับไปพัฒนาตัวเองแล้วค่อยมาล้างตาใหม่ก็ยังไม่สาย
เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่ลืมอะไร พวกเขาจึงเช็คเอาท์แล้วไปเที่ยวเล่นกันต่อ ที่ที่ดีนพาไปวันนี้ก็คืออควาเรียมที่เจ้าตัวบ่นว่าอยากไปนักหนาตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งรีแอคชั่นของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วที่ไม่ได้ยกเลิกแพลนวันนี้ไปเสียก่อน
“ไวเหมือนกันนะ แป๊บเดียวก็จะกลับแล้ว รู้สึกว่ายังเที่ยวไม่ทั่วเลย”
แมคเคนซีกล่าวเมื่อมาถึงตรงหน้าหอไอเฟล สถานที่ที่จะส่งพวกเขากลับไปยังค่ายฮาร์ฟบลัด
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“คราวหน้าคงต้องให้นายช่วยเป็นไกด์ให้อีก แต่ฉันจะช่วยหาข้อมูลด้วย เราจะได้เที่ยวกันจนทั่ว”
ขณะที่วางแผนกันล่วงหน้าก็มีหญิงสาวคนหนึ่งหอบแบบสอบถามมาให้พวกเขาช่วยทำ แมคเคนซีที่ไม่ใช่พวกชอบให้ความร่วมมือกับเรื่องแบบนี้ก็ทำตัวนิ่งเฉยเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาเกือบจะดึงแขนดีนให้เดินผ่านไปเฉย ๆ แล้วแต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธไปเสียก่อน แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนั้นจะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ ทั้งยังพูดอะไรแปลก ๆ อย่าง “อยากจะกินพวกเขาทั้งคู่” อีก
…รูปประโยคมันคุ้น ๆ นะ…
ยังไม่ทันได้ประมวลผลครบถ้วน เขาก็ถูกดีนเอาช่อดอกไม้ยัดใส่มือและเข้ามาบังตัวไว้ซะแล้ว เบื้องหน้าของพวกเขาคือมอนสเตอร์ตัวโตที่ถือค้อนที่มีกระแสไฟฟ้าแล่นเปรี๊ยะ ๆ ซึ่งถ้าพลาดท่าเสียทีโดนอาวุธนั้นโจมตีเข้า ความรู้สึกคงไม่ต่างจากโดนไฟช็อตแน่ ๆ
เมื่อได้รับคำเตือนจากดีนเขาก็พยักหน้ารับ หยิบดาบที่คาดเอวไว้ออกมาเตรียมพร้อม
“อะไรกัน แค่ให้ทำแบบสอบถามเอง ถึงกับต้องเอาแป๊บน้ำตีกันเลยเหรอ”
“นั่นสิ อีกคนก็ไม่ห้ามเพื่อนเลย ดูสิ หยิบไม้พายทำอาหารออกมาแล้ว จะทำอะไรน่ะ”
เสียงซุบซิบจากคนละแวกนั้นทำให้แมคเคนซีเสียเซลฟ์ไปเล็กน้อย ในสายตาคนทั่วไปมองเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้เองสินะ คงไม่ได้กำลังนึกว่าเขาจะเอาไม้พายทำอาหารไปตบหน้าผู้หญิงหรอกใช่ไหม โคตรของโคตรไม่เท่เลย
เขาจ้องหาช่องโหว่ของเจ้ามอนสเตอร์เพื่อที่จะเข้าไปช่วยดีน แต่การต่อสู้ตรงหน้านั้นไวเกินไป ไวจนแมคเคนซีแปลกใจว่าแค่ไม่ได้เจอกันไม่นาน ดีนต่อสู้ได้เก่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ราวกับเป็นคนละคนกับที่โดนพวกขี้ยารุมทำร้ายแล้วเขาไปช่วยไว้ที่ซับเวย์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเลย
“ดีนระวัง !”
แมคเคนซีตะโกนบอกเมื่อเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นใช้ค้อนทุบราวสะพานจนคอนกรีตบางส่วนกระจาย เหมือนว่าเพื่อนของเขาจะความเร็วลดลงจากเดิม ไม่รู้ว่าโดนลูกหลงไปบางหรือเปล่า แต่ดีนก็ยังสู้ไม่ถอยจนในที่สุดก็กำจัดเจ้ามอนสเตอร์ตัวโตนั่นลงได้ และเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ต้องแปลกใจที่ผู้คนบริเวณนั้นกลับมาเดินเล่นและพูดคุยกันตามปกติราวกับก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ดีนดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น
“ดีน ! นายบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เขารีบวิ่งมาดูเพื่อนที่ตอนนี้นั่งนิ่งอยู่กับพื้น สายตามองสำรวจหาบาดแผลตามร่างกาย
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

เมื่อดีนบอกแบบนั้นเขาจึงมานั่งพิงตรงราวสะพานด้วยกัน รอให้อีกฝ่ายอาการดีขึ้นก่อนแล้วค่อยเริ่มเดินทางต่อไปยังหอไอเฟล ตอนแรกแมคเคนซีนึกว่าจะแค่ยืนอยู่ตรงหน้าหอไอเฟลเพียงเท่านั้น ไม่นึกว่าดีนจะลงทุนขึ้นมาถึงข้างบนหอ ในตอนนี้เขาจึงมองเห็นทัศนียภาพรอบ ๆ กรุงปารีสที่มีขนาดเล็กลงราวกับโมเดลจำลอง
“หอกระจายเสียงเนี่ยนะ ฉันว่าคนซื้อน่ะแปลก ส่วนที่กระโดดลงมานั่นน่ากลัวไปหน่อย”
แมคเคนซีหัวเราะไปกับเรื่องที่ดีนเล่า ก่อนจะเงียบไปเล็กน้อยแล้วเริ่มพูดขึ้นมา
“เจ้าตัวใหญ่นั่นคือตัวอะไร อันตรายชะมัด แต่นายก็เท่มากเลย จัดการมันได้ด้วยตัวคนเดียว นายเรียนการใช้อาวุธที่ค่ายงั้นเหรอ”
ชายหนุ่มถามสิ่งที่สงสัยออกมา ก่อนจะหันมามองคนที่ยืนข้าง ๆ กัน
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“แสนเหรียญเชียวเหรอ ฉันว่านักต้มตุ๋นนั่นโลภไป ขายได้คนเดียวก็รวยจะแย่ เห็นไหม พอมาถึงคนที่สามเลยโดนจับเลย”
แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ก็มาคู่กับความโลภเป็นธรรมดา ถึงจะไม่ใช่เรื่องเงินทองก็เป็นเรื่องอื่นได้
“ดูท่าตอนที่ฉันยังไม่มาที่ค่ายนายคงไปผจญภัยมาหลายที่เลยสินะ กลายเป็นดีนที่แข็งแกร่งซะแล้วสิ”
เขาตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ รู้สึกภูมิใจในตัวคนข้าง ๆ เหลือเกิน ส่วนเขาเองจากนี้คงต้องพยายามต่อไป
“หือ…?”
แมคเคนซีหันมามองอีกฝ่ายสีหน้าสงสัยเมื่อถูกเรียกชื่อ ที่หลังมือรู้สึกได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาจากเรียวนิ้วพร้อมกับใบหน้าดีนที่เข้ามาใกล้ขึ้น
…ระ..หรือว่า…
ดวงตาสีฮาเซลสะท้อนภาพใบหน้าคมคายของดีน หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่สุดท้ายก็ถูกสองแม่ลูกที่วิ่งไล่กันเสียงดังเป็นฉากหลังช็อตฟีลเอาซะได้
…เวรเอ๊ย…
เขาสบถในใจอย่างหัวเสียแล้วหัวเราะฝืดติดจะเซ็ง ๆ
“ไม่ล่ะ ไม่ดูแล้ว เรากลับกันเถอะ ต้องทำยังไงนะ ภาวนาจิตคิดถึงเทพีอะโฟรไดท์แล้วบอกว่าจะกลับแค่นี้ใช่ไหม แล้วเราต้องจับมือกันเหมือนขามาหรือเปล่า”
เท่าที่จำได้ก็น่าจะเป็นแบบนี้แต่เขาควรจับมือดีนไว้ไหม เผื่อเกิดความผิดพลาดส่งพวกเขาไปกันคนละที่ขึ้นมา
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

“เรื่องแบบนี้ก็ไม่แน่หรอกฉันอาจจะใช้เวลาฝึกนานก็ได้”
เขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย สำหรับแมคเคนซีแล้วเขาถือว่ายังเป็นสมาชิกใหม่ของค่ายยังมีเรื่องอีกมากมายที่เขาต้องเรียนรู้ ขนาดที่ว่าตัวเขามั่นใจในฝีมือการต่อสู้ของตนเองพอตัวก็ยังมาพ่ายแพ้ให้แก่ก็อบลินตัวเล็ก ๆดูท่าเขาจะประมาทโลกแห่งทวยเทพนี้ไม่ได้แล้ว
“โอเคงั้นขอให้เราได้วาร์ปไปในจุดเดียวกัน ทริปนี้ฉันสนุกมาก ถึงจะเจ็บตัวไปหน่อยแต่ฉันก็พอรู้แล้วว่าจากนี้ฉันควรจะทำยังไงต่อ ขอบคุณนายมากนะที่คอยปกป้องฉัน เจอกันที่ค่ายล่ะ”
ถือว่าเป็นการจบทริปปารีสที่ดี แมคเคนซีกุมมือดีนไว้แล้วหลับตาลง ตั้งจิตภาวนาถึงเทพีอะโฟรไดท์ ส่วนดีนเองตอนนี้ก็คงกำลังภาวนาอยู่เช่นกันหลังจากนั้นแสงสว่างจ้าก็สาดส่องเบื้องหลังเปลือกตาแมคเคนซี เสียงวิ้ง~ดังขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ร่างของพวกเขายังไม่ได้หายไป แต่กลับเป็นเทพีอะโฟรไดท์ที่ปรากฏกายออกมาแทน
[ดูโรลเพลย์ของดีนประกอบ]

เปลือกตาเปิดขึ้นอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงอันคุ้นเคยที่ได้ยินไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่แล้วแมคเคนซีก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อเบื้องหน้าเขาคือเทพีอะโฟรไดท์ที่อยู่ในชุดเดรสสีแดงขับผิว วันแรกที่เจอว่าสวยแล้วแต่วันนี้กลับสวยกว่า เพิ่งเข้าใจว่าสวยปานนางฟ้ามีจริงก็วันนี้เอง
เมื่อได้ฟังคำชมและสายตาที่เทพีมองมายังเขา ชายหนุ่มก็รู้สึกประหม่าจนทำได้เพียงแค่ค้อมศีรษะรับเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะทำตาโตขึ้นมาเมื่ออยู่ ๆเทพีอะโฟรไดท์ก็พูดถึงความหมายขอดอกไม้ที่เขามอบให้ดีนไป ในตอนแรกเขาเพียงแค่คิดว่าอยากจะได้ช่อดอกไม้สีส้มเพราะเป็นสีที่เหมาะกับดีนดี แต่คนขายก็ช่างใส่ใจเหลือเกิน เธอถามว่าเขาอยากได้ดอกไม้ในโอกาสอะไร พอแมคเคนซีบอกไปและมีโจทย์ให้ว่าต้องเป็นดอกไม้สีส้มเท่านั้น เธอก็จัดช่อทิวลิปมาให้พร้อมกับบอกความหมายเสร็จสรรพ แต่เขากลับไม่คิดจะบอกมันกับดีนด้วยความเขินเกินกว่าที่จะบอก
เขาปล่อยให้ดีนและเทพีอะโฟรไดท์สนทนากันจนกระทั่งนางมอบดอกกุหลาบให้พวกเขาเป็นรางวัล คราวนี้ก็ได้เวลากลับค่ายจริง ๆ เสียที แมคเคนซีจับมือดีนไว้แล้วหลับตาลงอีกครั้ง ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววิอย่างที่ดีนบอก พวกเขาก็กลับมาที่ทะเลสาบกลางค่ายฮาร์ฟบลัดอย่างปลอดภัย
https://i.imgur.com/ZP7G7iY.png
สำเร็จภารกิจ : เผชิญหน้ากับกองทัพก็อบลิน
รางวัล: 40 EXP , +12 ดรักม่า , +30 กล้าหาญ , ดอก(กุหลาบสี)ทอง 1 ดอก
ความโปรดปรานจากอะโฟร์ไดท์ +35 แต้ม
โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +15
หน้า: 1 [2]
ดูในรูปแบบกติ: [ฝรั่งเศส] กรุงปารีส