แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Dean เมื่อ 2024-4-22 19:21
006  ความลับที่ซ่อนไว้
“ขอใช้เน็ตหน่อยนะ”
เมื่อมาถึงกระท่อมหมายเลขสิบเอ็ดดีนก็เดินพรวดเข้ามาทันทีอย่างไม่รีรอ ที่เขาเอ่ยบอกเด็กในบ้านเฮอร์มีสเป็นเพียงแค่ ‘แจ้งให้ทราบ’ หาใช่ ‘คำขออนุญาต’ แต่อย่างใด
ด้านในของกระท่อมไม้ใหญ่โตกว่าที่คิด แต่ตอนนี้ชายหนุ่มร้อนใจเสียจนลืมสนใจความสมเหตุสมผลระหว่างขนาดพื้นที่ แต่มันก็กว้างใหญ่พอที่ทำให้ชายสูงหกฟุตเดินพล่านไปรอบโดยไม่ชนใคร เด็ก ๆ ที่อยู่ในบ้านจับกลุ่มซุบซิบนินทาชายแปลกหน้าที่จู่ ๆ ก็พรวดพราดเข้ามาขอใช้อินเทอร์เน็ต
“นั่นคนใหม่เหรอไม่คุ้นหน้า”
“ทำไมแก่จัง”
“ที่แขนใส่เฝือกด้วย”
แต่ดีนไม่มีเวลามาสนใจถ้อยคำซุบซิบที่บังเอิญเข้าหู เขาแทบไม่ได้ฟังเลยด้วยซ้ำ
“เฮ้ น้อง ใช้เน็ตได้ที่ไหนนะ?” ดีนหันไปถามเด็กสักคนแถวนั้น ด้วยความไม่คุ้นเคยกับผู้ใหญ่แปลกหน้า เจ้าหนูที่ถูกถามจึงได้แต่ชี้นิ้วไปที่ห้องอินเทอร์เน็ตเพียงเท่านั้น “ขอบใจ”
เมื่อเจอห้องอินเทอร์เน็ตแล้วก็ตรงไปเข้าใช้บริการทันที ดูเหมือนว่าในนี้จะมีเด็กติดเกมอยู่ไม่น้อยทว่าเขาไม่สนใจหรอก เท่าที่จำได้มนุษย์ม้าคนนั้นบอกว่าใช้โทรศัพท์ของตัวเองเชื่อมต่อได้แต่ไม่พูดถึงค่าใช้บริการ คงจะฟรีล่ะมั้ง แต่ดีนก็มิวายเหลียวซ้ายแลขวาหากฎการใช้งานหรืออย่างน้อยก็ป้ายรหัสไวไฟ จนสุดท้ายก็เห็นโพสต์อิทแปะอยู่ข้างเสา
“รหัสผ่าน คือรหัสผ่าน” ชายหนุ่มยักไหล่ก่อนจะเชื่อมต่อไปตามนั้น เพียงไม่กี่วินาทีขีดสัญญาณไวไฟก็ขึ้นเต็มหลอด รวมถึงสัญญาณโทรศัพท์ด้วย “แจ๋ว”
แม้คนแรกที่ปรมาจารย์ไครอนแนะนำให้ถามคือมารดา แต่ดีนไม่อยากเอานิ้วไปแหย่ปลั๊กไฟโดยการพูดคุยเรื่องเทพเจ้ากรีกกับคุณแม่ แม้ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาก็ทึกทักไปเองว่าคงจะขัดกับหลักนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวล่ะมั้ง ดังนั้นคนที่เลือกติดต่อไปหาก็คือลุงไมค์ ที่เคยส่งข้อความทิ้งไว้ก่อนเขาจะเข้าป่า แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรข้อความแจ้งเตือนก็เด้งขึ้นรัว ๆ จนอยากจะโยนโทรศัพท์ทิ้ง โดยบอลลูนแจ้งเตือนมีแต่ชื่อว่า MOM
‘โอ๊ย อย่าบอกนะว่าความแตก’ ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้า ไม่อยากจะกดอ่านข้อความที่แม่ส่งมาเลยให้ตายสิ แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างแม่คงไม่หยุดฟลัดข้อความใส่แบบนี้ ‘เอาไงก็เอากัน’ สุดท้ายคนที่โทรหาคนแรกก็ต้องเป็นแม่อยู่ดี และเมื่อเขากดโทรออกฟังเสียงตู๊ดอยู่นานราว ๆ ห้าวินาทีสุดท้ายแม่ก็รับสายด้วยน้ำเสียงเหมือนคุยกับคนส่งพัสดุ
“ฮัลโหลแม่”
“ดีน! นั่นลูกเหรอ? ลูกเป็นอะไรไหม? แล้วทำไมถึงใช้เบอร์นี้โทรมา?” ปลายสายเปลี่ยนน้ำเสียงทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่โทรมาคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“ใช่ผมเอง ก็ใช้เบอร์เดิมโทรมานะ”
“แต่ว่ามันขึ้นว่า 444 หรือว่าโทรศัพท์จะมีปัญหา?”
ทันทีที่แม่บอกชายหนุ่มก็ขยับปากเป็นคำว่า “อ้อ” โดยไม่ออกเสียง ที่บอกว่าใช้เน็ตได้ที่นี่ที่เดียวเป็นเพราะสัญญาณถูกเข้ารหัสไว้นี่เอง อาจจะใช้ป้องกันเอฟบีไอ ร้ายนักนะลัทธิเลือดผสม!
“ก็นิดหน่อยครับแม่ คือผมไม่เป็นไร สบายดีไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงนะ”
ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่เหงื่อแอบแตกพล่าน เพิ่งจะปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิแท้ ๆ เหงื่อออกได้ยังไง แล้วพอเขาบอกว่าไม่เป็นไรน้ำเสียงของแม่ก็เปลี่ยนไปเป็นแข็งขึ้น
“ที่บอกว่าถ้าหายไปเกินสามวันให้แจ้งตำรวจหมายความว่ายังไง? ลูกแม่ไปก่อเรื่องทำวีรกรรมอะไรที่ไหนอีก”
“เปล่าครับ คือ.. ลุงไมค์ฟ้องแม่เหรอ?” ดีนลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามไปก่อน ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าจะถูกลุงไมค์ทรยศเข้าเสียได้
“อ้อ เปล่าหรอกจ้ะ พอดีว่ามือถือแม่แบ็ตไม่ค่อยดี ส่วนของพ่อก็ลืมเติมเงิน เลยขอยืมโทรศัพท์ลุงไมค์โทรน่ะจ้ะ แล้วเห็นแชทค้างไว้พอดีก็เลยสงสัย” เสียงปลายสายเงียบไปหนึ่งอึดใจก่อนที่คุณนายอัลวาเรซจะกล่าวต่อเสียงเย็น “แล้วตกลงจะบอกแม่ได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น?”
‘ฉิบหายแล้ว!!’ ชายหนุ่มกู่ร้องในใจ แม่ตอนโกรธน่ากลัวพอ ๆ สัตว์ประหลาดที่มาทำร้ายเขานั่นแหล่ะ แต่ดีกว่าหน่อยตรงที่ไม่เคยทำร้ายร่างกายกัน “คืองี้นะครับ ถ้าผมเล่าแล้วแม่ต้องใจเย็น ๆ นะ”
ปลายสายรับปากด้วยน้ำเสียงที่เย็นลงแต่ไม่ยะเยือก ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ว่าเห็นสิ่งประหลาดเป็นครั้งแรก ไปจนถึงช่วงวัยที่ถูกพวกมันไล่ทำร้ายจนหนักข้อขึ้นเมื่อโตเป็นหนุ่ม ส่วนที่เลวร้ายที่สุดคืออาทิตย์ก่อนหน้านี้ที่หลังวันเกิดวัยยี่สิบสามปีหมาด ๆ
คุณแม่ฟังอย่างตั้งใจโดยจับอาการอึ้งได้จากน้ำเสียง หล่อนไม่เคยรับรู้เรื่องที่ดีนถูกทำร้ายมาก่อนเพราะว่าเขาไม่มีบาดแผลแสดงให้เห็นที่ภายนอก มีแต่เพียงอุบัติเหตุเล็ก ๆ ที่ลูกชายมักจะตัวเปียกกลับบ้านอยู่บ่อยครั้ง
“แม่ไม่เคยรู้เลยว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับลูกด้วย”
“ขอโทษที่ปิดบังครับ ผมคิดว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ คิดว่าเพราะตัวเองตาฝาด แม่ก็รู้นี่ว่าผมสายตาสั้นตั้งแปดร้อย แต่ไป ๆ มา ๆ มันก็ชักเริ่มจะ.. สมจริงขึ้นไปทุกที”
“แล้ว.. นี่คือเหตุผลที่ลูกบอกว่าเกี่ยวกับตำรวจเหรอ ดีน.. ลูกคงไม่ได้.. เล่นยาใช่ไหมลูก?”
“แม๊!!”
พอแม่พูดแบบนี้เขาก็โวยลั่นขึ้นมาจนเด็กร้านเกมหันมามอง
“ไม่ใช่แม่ ยังเล่าไม่จบเลย คือเมื่อวานก่อน ก่อนวันที่จะถูกรถบรรทุกชนน่ะครับ ที่ผมบอกว่าโดนแมวกัด ที่เป็น เอ่อ.. แมวปีศาจ วันนั้นมีคนช่วยผมเอาไว้แล้วพูดประมาณว่า ชีวิตผมมีภัยให้รีบมาที่แคมป์นี้ แล้วผมกับดารี่.. หมายถึงเพื่อนที่เคยเล่าให้ฟังน่ะครับ เธอเองก็เจออะไรคล้าย ๆ ผมเหมือนกันแต่ไม่หนักเท่า มีคนแนะนำเธอเหมือนกันว่าให้มาที่นี่ ที่ค่ายฮาล์ฟบลัด แต่ผมคิดว่ามันแปลก ๆ เหมือนลัทธิต้มตุ๋นวันสิ้นโลกอะไรเทือกนั้นเลยไม่ไว้ใจน่ะครับ ก็เลยบอกลุงไมค์ว่าถ้าผมหายไปให้แจ้งความ”
“เข้าใจแล้ว ลูกกับเพื่อนก็เลยลองมาบำบัด.. อะไรทำนองนั้น? ที่ ๆ ลูกกับเพื่อนควรไปคือคลินิกจิตแพทย์นะจ๊ะ” น้ำเสียงของแม่ในตอนนี้เหมือนกับจะด่าเขาว่า ‘ไอ้เด็กโง่เอ๊ย’ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมาขนาดนั้น “แล้วตกลงว่าเป็นไงจ๊ะ ที่นี่เป็นลัทธิอย่างที่ลูกว่าหรือเปล่า?”
“โธ่ แม่ ไม่ใช่ว่าไม่เคยไป ผมเคยไปหาหมอมาแล้ว แต่ตอนนั้นหมอที่มาให้คำปรึกษาก็แปลก ๆ บอกว่าผมต้องมาที่ค่ายนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมคิดว่ามันเลอะเทอะเลยรีบออกมา ส่วนเรื่องลัทธิ.. ยังไม่แน่ใจครับ แต่ผมเจอเรื่องแปลก ๆ ที่นี่มีแต่เด็ก แล้วก็มีคนที่ครึ่งล่างเป็นม้าบอกว่าตัวเองเป็นเซ็นท่อที่เป็นผู้อำนวยการที่นี่ด้วย ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอนแต่ลองจับแล้วมันสมจริงมาก แล้วคนครึ่งม้าคนนั้นก็ยังบอกอีกว่า..”
ดีนลังเลที่จะบอก เพราะประโยคถัดไปแม่ต้องวีนแตกใส่หูโทรศัพท์แน่ ๆ เขาเลยเงียบไปนาน
“ดีน ถ้าลูกกลัวว่าแม่จะโกรธ แม่สัญญาตั้งแต่แรกแล้วไงจ๊ะว่าจะใจเย็นแล้วฟังที่ลูกเล่าทั้งหมด”
“โอเค.. คนครึ่งม้าบอกว่า ‘ความจริงแล้วผมเป็นลูกครึ่งเทพ’ คุณพ่อของผมคือเทพน้ำที่ชื่อว่าโพไซดอน แล้วที่ผมเห็นอะไรแปลก ๆ ก็เพราะเรื่องนี้ มีปีศาจอยากกินผมเพราะว่าลูกครึ่งเทพน่ะอร่อย คงจะจริงแหล่ะ เพราะสาว ๆ ที่เคยกินผมก็พูดกันอย่างนั้น ฮ่า ๆๆๆ มันบ้ามากเลยใช่ไหมล่ะครับ ถ้าพ่อเป็นโพเซดอนจริงแล้วคุณพ่อล่ะ? จะอธิบายเรื่องพ่อยังไง อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดยันผมจบไฮสคูล”
ชายหนุ่มพยายามกล่าวติดตลกแซมไปด้วยคุณแม่จะได้มีรอยยิ้มบ้างหากกำลังหัวร้อนอยู่ ทว่าปลายสายเงียบไปอย่างน่าใจหาย สงสัยว่าแม่คงโกรธมากจนพูดไม่ออก
“แม่?”
“เขา.. บอกว่าลูกเป็นบุตรของโพไซดอนงั้นเหรอจ๊ะ?”
เสียงที่ปลายสายค่อย ๆ เอ่ยถ้อยคำออกมาช้า ๆ ทีละคำ ไม่ใช่น้ำเสียงของคนโกรธ แต่เป็นเสียงของคนที่กำลังตกอยู่ใจภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากกว่า
“ใช่ครับ.. ไม่เอาน่า แม่ควรจะพูดว่า เหลวไหลทั้งเพสิถึงจะถูก”
“....” คราวนี้เป็นแม่ที่เงียบไปทำเอาเขาใจคอไม่ดี “แล้วถ้าแม่บอกลูกว่า ‘จริง’ ล่ะจ๊ะ?”
“หืม? อะไร.. อะไรที่ว่าจริง?”
“ก็.. ถ้าแม่บอกว่า พ่อของลูกคือ ‘โพไซดอน’ ไม่ใช่ ‘โดนัลด์’ ล่ะ”
ราวกับถูกหมัดอัปเปอร์คัตฟาดปลายคางไปหนึ่งหมัดจนหัวมีแต่เสียงวิ้ง เดี๋ยวนะ.. นี่แม่กำลังเล่นมุกล้อกันเล่นอยู่หรือเปล่าเนี่ย ในสถานการณ์แบบนี้ขำไม่ออกหรอกนะ แต่น้ำเสียงที่ปลายสายจริงจังเกินไปจนไม่เหมือนเป็นเรื่องตลก
“ขอโทษที่แม่ปิดบังลูกมาตลอด แต่ไหน ๆ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วล่ะนะ แล้วมันก็เป็นสิทธิ์ที่ลูกจะได้รู้ความจริง”
ที่ปลายสายทอดหายใจเสียงดังจนได้ยินเข้ามาในโทรศัพท์
“เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อประมาณยี่สิบสี่ปีก่อน ตอนนั้นแม่ต้องไปทำงานเรียกร้องสิทธิสตรีที่แคลิฟอร์เนียแล้วแม่ก็เจอกับพ่อของลูกที่นั่น เขาเป็นคนที่เห็นครั้งแรกก็รู้แล้วว่าพิเศษ แต่ตอนนั้นแม่ยังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร ในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาดีกับแม่มาก จนกระทั่งวันหนึ่งแม่ได้ตั้งท้องลูก”
“เขาอยากให้ลูกชื่อว่าเอลวิน มันไม่ใช่ภาษากรีกแต่เป็นภาษาเวลส์ ไม่รู้ว่าเขาเอาชื่อนี้มาจากไหนเหมือนกัน บางทีอาจเพราะพวกเราเพิ่งไปดูหนัง เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ กันมา เขาเลยอินกับชื่อเอลฟ์เป็นพิเศษ ...เขาบอกว่ารอคอยให้ลูกเกิดมาแต่อาจจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาเมื่อลูกเกิด พอแม่ถามว่าทำไมล่ะ? เขาก็ตอบว่าเพราะว่าเขาคือเทพเจ้า”
“ตอนแรกแม่ก็คิดว่าเขาต้องอำแม่แน่ ๆ แต่เขาก็แสดงปาฏิหาริย์จนแม่เชื่อ มันไม่มีทางเป็นมายากลอย่างแน่นอน แต่มีเรื่องหนึ่งที่แม่ค้างคาใจ ในตำนานโพไซดอนเคยทำเรื่องที่แย่มาก ๆ ไว้อยู่เรื่องหนึ่ง เขาเคยทำเรื่องไม่ดีกับเมดูซ่าจนทำให้เธอถูกสาปกลายเป็นอสุรกาย แม่เลยถามเขาว่าตำนานบทนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ แล้วพ่อของลูกก็ตอบว่า จริง”
“มันเป็นสิ่งที่แม่รับไม่ได้ที่จะให้ลูกมีพ่อเป็นนักข่มขืน แม่เลยเก็บความลับนี้มาตลอดไม่บอกลูกเลย แต่มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น หากบอกไปก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี”
มาถึงตรงนี้ดีนที่ได้แต่ฟังก็มัวแต่อึ้ง เหตุผลที่แม่ไม่ชอบเทพเจ้ากรีก เหตุผลที่แม่แทบจะไม่ให้เขารับรู้เรื่องของเทพเจ้าเลย แม่เป็นนักเรียกร้องสิทธิสตรีทำงานช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกข่มเหงรังแกมาตลอด แม่รับเรื่องนี้ไม่ได้ก็ไม่แปลก เขาเข้าใจดี และคนที่ไม่ชอบเทพเจ้าขนาดนั้นกลับเล่าเรื่องให้ฟังด้วยน้ำเสียงจริงจังขนาดนี้ ถ้าแม่โกหกก็คงจะเล่นละครเก่งกว่า จูเลีย โรเบิตส์ ตอนที่แสดงหนังเรื่อง ‘อีริน บรอคโควิช ยอมหักไม่ยอมงอ’
ถ้าอย่างนั้นคนที่คอยเตือนเขาให้มาค่ายแห่งนี้ทุกคนพูดความจริงอย่างนั้นหรือ? มีเรื่องมากมายที่อยากจะถามเต็มไปหมด ถ้าเป็นการคุยต่อหน้าไม่ใช่ผ่านสายโทรศัพท์แบบนี้ก็น่าจะดี
“แล้ว.. เรื่องคุณพ่อล่ะ.. คุณพ่อโดนัลด์?”
“เรื่องของโดนัลด์สินะจ๊ะ.. ความจริงแล้วแม่กับโดนัลด์เราเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ไฮสคูล เรื่องที่ลูกก็รู้ว่าโดนัลด์เป็นเกย์.. เขาก็เป็นมาตั้งนานแล้วล่ะจ้ะ หลังจากที่แม่หนีจากแคลิฟอร์เนียกลับมาที่ซานอันโตนิโอพร้อมกับอุ้มท้องลูกมาด้วย โดนัลด์ก็เสนอตัวมาเป็นพ่อของลูกในท้องให้ อย่างที่ลูกรู้ว่าคุณย่าของลูกเลี้ยงดูโดนัลด์เพียงลำพังมาอย่างลำบากแค่ไหน เขาไม่อยากให้เรื่องเลวร้ายเหล่านั้นมาเกิดขึ้นกับแม่และลูกอีกคน เราก็เลยเลี้ยงดูลูกด้วยความรักตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถึงโพไซดอนจะเป็นพ่อที่แท้จริงของลูก แต่ว่าโดนัลด์เขาก็รักลูกเหมือนเป็นลูกแท้ ๆ นะจ๊ะ”
“ผมรู้”
ใครเล่าจะไม่รู้ แม้ว่าตั้งแต่จำความได้ก็รู้อยู่แล้วว่าคุณพ่อโดนัลด์เป็นเกย์ แต่ความรักที่มีให้เขาไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย สำหรับดีนบ้านคือเซฟโซนที่ดีที่สุดที่หาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว
“โอเค ผมกำลังช็อคอยู่ แต่ก็พยายามทำความเข้าใจ เอาเป็นว่า.. ผมคือลูกเทพเจ้าของจริง ใช่ไหม?”
“ใช่จ้ะ เพราะว่าแม่หนีจากเขามาก่อนเลยไม่รู้ว่าสิ่งที่ลูกต้องลำบากในอนาคตคืออะไร แต่ตอนนี้แม่พอจะประติดประต่อสิ่งที่เขาพูดได้แล้ว ถ้าค่ายฮาล์ฟบลัดทำให้ลูกปลอดภัยได้จริง ๆ แม่ก็อยากให้ลูกอยู่ที่นั่นไปก่อน”
สรุปก็คือต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนจริง ๆ สินะ..
ดีนจำไม่ได้ว่าเขาวางสายจากคุณแม่แล้วเอาแต่นั่งนิ่งเหมือนคนวิญญาณหลุดไปตั้งแต่เมื่อไร พอรู้ตัวอีกทีตะวันก็จวนเจียนจะตกดินเต็มแก่แล้ว…
|