Zeus / Jupiter
King of the Gods / King of the Gods
คำอธิบายทั่วไป
"ดีล่ะ! ในนามแห่งสภา เราขอตั้งสัตยาธิษฐานต่อแม่น้ำสติกซ์อันศักดิ์สิทธิ์ ว่าจะประทานสิ่งที่เจ้าร้องขออย่างสมเหตุสมผล ตราบใดที่คำขอนั้นยังอยู่ในขอบข่ายอำนาจของเรา"– ซุส พูดกับ เพอร์ซีย์ แจ็กสัน ในบันทึก The Last Olympianซุส เป็นเทพเจ้ากรีกผู้ครองผืนฟ้า อัสนีบาตและสายฟ้า ราชันย์ เกียรติยศ และความยุติธรรม ตลอดทั้งเรื่องราว มีการกล่าวขานว่าซุสทรงเป็นเทพเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพที่สุด ท่านคือจอมเทพแห่งโอลิมปัส โอรสองค์สุดท้องของไททันโครนอสและเรอา และเป็นสวามีของเทพีเฮร่า เทพเจ้าโรมันที่เทียบเคียงได้คือจูปิเตอร์
ลักษณะที่ปรากฏ


ชีวประวัติ
ซุสทรงเป็นโอรสองค์เล็กสุดของโครนอส ราชาแห่งไททันผู้ครองขุนเขาโอธริส และเรอา น้องสาวร่วมอุทรผู้เป็นมเหสี พี่น้องของซุสทุกองค์ล้วนถูกโครนอสกลืนกินเข้าไปก่อนหน้านี้ ด้วยความหวาดหวั่นว่าหนึ่งในบุตรธิดาของตน (ผู้ซึ่งเป็นเทพเจ้า เผ่าพันธุ์อมตะที่ทรงพลังยิ่งกว่าเหล่าไททัน) จะโค่นล้มพระองค์ในท้ายที่สุดตามคำทำนายของอูรานอส/ยูเรนัส บิดาของเขา ก่อนที่โครนอสจะสับบิดาเป็นชิ้นๆ ด้วยเหตุนี้ โครนอสผู้มุ่งมั่นที่จะรักษาบัลลังก์ของตนไว้ จึงได้กลืนกินเฮสเทีย ดีมิเทอร์ เฮร่า ฮาเดส และโพไซดอนทันทีที่กำเนิดออกมา ด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกโค่นอำนาจ ผลลัพธ์คือ โครนอสจึงเป็นที่รู้จักในนาม "ราชันย์กินคน" เรอาทรงวิงวอนให้โครนอสไว้ชีวิตบุตรธิดาของพวกตน แต่ก็ไร้ผล ด้วยแม้แต่ความรักอันใหญ่หลวงที่โครนอสมีต่อเรอาก็มิอาจเอาชนะธรรมชาติอันเห็นแก่ตัวและชั่วร้ายของเขาได้ เรอาผู้โศกเศร้าเสียใจไม่นานก็ได้ยินสุรเสียงของไกอา แนะนำให้นางไปให้กำเนิดบุตรคนสุดท้าย (ผู้ที่จะมาช่วยพี่น้ององค์อื่นๆ) ณ เกาะครีต เรอาอ้างว่าโคอิออสน้องชายผู้มีญาณทิพย์ของนางได้แนะนำเช่นนั้น จึงทำให้นางสามารถเดินทางไปยังเกาะครีตได้สำเร็จโดยโครนอสหาได้สงสัยไม่
การช่วยเหลือเหล่าพี่น้อง
ณ เกาะครีต ในถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงเขาไอด้า เรอาได้ประสูติบุตรคนที่หกและคนสุดท้าย นามของเขาคือซุส เรอาได้มอบโอรสแรกประสูติให้แก่นางไม้นพเก้า เป็นผู้ดูแล (รวมถึงแฮกโน่) แล้วจึงกลับไปยังขุนเขาโอธริส นางได้ใช้ก้อนหินใหญ่เกลี้ยงเกลา (ซึ่งอาจเป็นของขวัญจากไกอา) มีขนาดและรูปร่างดุจทารกแรกเกิด (ที่ไกอามอบให้) มาหลอกลวงโครนอส โดยห่อหุ้มด้วยผ้าอ้อมเสมือนว่าเป็นบุตรองค์สุดท้ายของนาง โครนอสกลืนก้อนหินนั้นเข้าไปโดยมิได้แม้แต่จะชายตามอง (ซึ่งทำให้เขาปวดท้องอย่างรุนแรง) และก็ถูกหลอกลวงได้สำเร็จ ตลอดช่วงเยาว์วัย ซุสได้รับการเลี้ยงดูจากเรอา (ผู้เสด็จมาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง) เหล่านางไม้นพเก้า เหล่าคูเรตีสผู้ส่งเสียงดัง และแพะอมัลเธีย เรอามักจะเล่าเรื่องราวของเหล่าพี่ชายพี่สาวให้ซุสฟัง ซึ่งทุกคนล้วนเป็นลิขิตที่ซุสจะต้องช่วยเหลือออกมาจากอุทรของบิดา
เมื่อซุสเจริญวัยจนเป็นผู้ใหญ่ พระองค์ได้แปลงกายเป็นร่างไททันจำแลงของตนเองได้สำเร็จ และ (ด้วยความช่วยเหลือจากมารดา) แทรกซึมเข้าไปในขุนเขาโอธริสโดยโน้มน้าวให้โครนอสจ้างพระองค์เป็นเจ้าหน้าที่เชิญจอกหลวง ด้วยทักษะการขับขานและการร่ายรำอันยอดเยี่ยม (รวมถึงความรู้ในเรื่องตลกโปกฮาของเหล่าเซเทอร์อย่างมากมาย) ซุสสามารถสร้างความบันเทิงให้แก่เหล่าไททันทั้งมวล ณ ขุนเขาโอธริสได้อย่างต่อเนื่อง แม้แต่ตัวโครนอสเอง หลังจากนั้นไม่นาน ซุสก็ได้ชักชวนให้เหล่าไททันบุรุษทั้งหลายเข้าร่วมการแข่งขันดื่ม ในฐานะราชาแห่งไททันผู้ครองขุนเขาโอธริส โครนอสย่อมเป็นผู้ชนะเสมอ ด้วยมิอาจปล่อยให้เหล่าอนุชาหรือหลายชายเอาชนะตนในสิ่งใดได้ ในที่สุด ราชาแห่งไททันก็เริ่มไว้วางใจซุสอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ซุสรอคอยอยู่แล้ว
เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่โครนอสกำลังร่วมโต๊ะเสวยกับเหล่าอนุชาและหลานชายไททัน ซุสได้เตรียมเครื่องดื่มชุดพิเศษสำหรับพวกเขาทั้งหมด เทพองค์นี้ได้เตรียมน้ำทิพย์ผสมยาหลับสำหรับแขกของโครนอสเพื่อทำให้หมดสติไป ขณะที่พระองค์ได้เตรียมยาถ่ายอย่างแรงยิ่ง (ทำจากน้ำทิพย์ผสมเมล็ดมัสตาร์ด) สำหรับโครนอสโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้เขาสำรอกทุกสิ่งที่เคยกลืนกินออกมา ดังเช่นก่อนหน้า ซุสได้สร้างความบันเทิงให้แก่พวกเขาทั้งหมดด้วยการขับขานอันไพเราะ ท่าเต้นอันโลดโผนของเหล่าคูเรตีส และมุกตลกของเหล่าเซเทอร์ที่ชวนหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ใกล้สิ้นสุดงานเลี้ยงของเหล่าไททัน ซุสได้ชักชวนให้ไททันทั้งหมดเข้าร่วมการแข่งขันดื่มอีกครั้ง และยื่นจอกที่เตรียมไว้ให้ ดังเช่นเคย โครนอสเป็นผู้ชนะการแข่งขัน แต่ยาถ่ายของซุสมีฤทธิ์รุนแรงมาก จนทำให้พระองค์ต้องสำรอกสิ่งที่อยู่ในกระเพาะออกมาทั้งหมดทันที ย้อนกลับตามลำดับที่กลืนเข้าไป: เริ่มจากก้อนหิน แล้วจึงเป็นโพไซดอน ตามด้วยฮาเดส เฮร่า ดีมิเทอร์ และเฮสเทีย ทุกพระองค์ล้วนเจริญวัยอยู่ในอุทรของโครนอสโดยมิได้ย่อยสลาย ด้วยทรงเป็นเทพเจ้าอมตะ ส่วนไททันองค์อื่นๆ ก็หมดสติไปและไม่สามารถตอบโต้ได้
ซุสรีบแนะนำตัวเองต่อเหล่าพี่น้อง และทุกคนก็รีบหลบหนีออกจากขุนเขาโอธริส ก่อนที่บิดา ลุง และญาติไททันของพวกเขาจะได้สติกลับคืนมา ในถ้ำของซุส ณ เชิงเขาไอด้า ทั้งหกคนได้กลับมาพบกับเรอา มารดาของตนอย่างมีความสุข ซึ่งนางได้โอบกอดบุตรธิดาที่ได้รับการช่วยเหลือทั้งหมดด้วยน้ำตานองหน้า หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าเทพเจ้าได้ยอมรับซุสเป็นผู้นำ และมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะประกาศสงครามกับบิดาของตน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเหล่าไททันมีอาวุธครบครัน และเหล่าเทพเจ้ายังคงไร้อาวุธ ซุสจึงตัดสินใจปลดปล่อยเหล่าลุงยักษ์ไซคลอปส์ตาเดียวและเฮคาทอนคีรีส์จากทาร์ทารัสเสียก่อน เพื่อให้พวกเขาสร้างอาวุธให้แก่เหล่าเทพ
ซุสเผชิญหน้าแคมเป้
ฮาเดส พี่ชายคนโตของซุส ทรงเชี่ยวชาญในการเดินทางใต้พิภพ และสามารถนำพาทุกองค์ลงไปยังทาร์ทารัสได้ (ผ่านเครือข่ายอุโมงค์ใต้โลกบาดาล) ณ ที่นั้น ในเขตควบคุมความปลอดภัยสูงสุด ล้อมรอบด้วยกำแพงทองสัมฤทธิ์มหึมาและคูลาวาหลอมเหลว มีเหล่าอสูรร้ายเฝ้าระวังอย่างเข้มแข็ง เหล่าไซคลอปส์ผู้เฒ่าและเฮคาทอนคีรีส์ถูกคุมขังอยู่ ผู้คุมของพวกเขาคือ แคมเป้ อสุรกายที่ดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวที่สุดในทาร์ทารัสทั้งมวล แม้แต่ซุส โพไซดอน และฮาเดสเองก็ยังทรงบังเกิดความหวาดหวั่นจนตัวสั่นในคราแรกที่ได้ทอดพระเนตรเห็นอสุรกายนรกตนนั้น อย่างไรก็ตาม เหล่าเทพเจ้าก็ทรงข่มความกลัวลงได้ และสามารถลอบเข้าไปข้างใน ซุสทรงเจรจากับไซคลอปส์บรอนทีสได้สำเร็จ และโน้มน้าวให้เขาสร้างอาวุธอันทรงพลังสำหรับพระองค์และเหล่าพี่น้องอย่างลับๆ เบื้องหลังแคมเป้
เหล่าไซคลอปส์ผู้เฒ่าทั้งสามได้รังสรรค์อาวุธทรงอานุภาพยิ่งสามสิ่ง: อัสนีบาตอำนาจสูงสุด (สำหรับซุส) ตรีศูล (สำหรับโพไซดอน) และหมวกเกราะแห่งความมืด (สำหรับฮาเดส) ด้วยอาวุธเหล่านี้ ซุสได้สังหารแคมเป้ และโพไซดอนได้พังทลายโซ่ตรวนของเหล่าไซคลอปส์ผู้เฒ่าและเฮคาทอนคีรีส์ ปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ หลังจากนั้น ฮาเดสได้นำพาเหล่าพี่น้องและท่านลุงกลับออกจากทาร์ทารัสอย่างปลอดภัย เพื่อเป็นการตอบแทนการปลดปล่อย เหล่าลุงทั้งหกของซุสต่างเห็นพ้องที่จะร่วมรบเคียงข้างพระองค์ในมหาสงครามกับเหล่าไททันที่กำลังจะอุบัติขึ้น
สงครามไททันครั้งแรก
ไม่นานหลังจากกลับมาจากทาร์ทารัส ซุสและพี่น้องของเขาได้ประกาศสงครามกับโครนอสและเหล่าไททันตนอื่นๆ อย่างเป็นทางการ ซึ่งส่งผลให้เกิดสงครามไททันอันน่าสะพรึงกลัวที่ยาวนานถึง 11 ปี ในช่วงแรก เหล่าไททันเป็นฝ่ายได้เปรียบ เนื่องจากพวกเขาเป็นนักรบที่มีประสบการณ์มากกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามผ่านไปหลายปี เหล่าเทพก็กลายเป็นนักรบที่เก่งกาจอย่างรวดเร็วเช่นกัน และด้วยความช่วยเหลือจากอาวุธใหม่ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง (เช่น อัสนีบาตทรงอำนาจสูงสุดของซุส ตรีศูลของโพไซดอน และหมวกเกราะแห่งความมืดของฮาเดส รวมถึงความช่วยเหลือของเหล่าไซคลอปส์อาวุโสและเฮคาทอนคีรีส์ ซึ่งพละกำลังมหาศาลของพวกเขามีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อสงครามดำเนินไป) ในที่สุดเหล่าเทพก็ได้รับชัยชนะ
ขณะเตรียมตัวสำหรับการรบครั้งสุดท้ายของสงคราม ซุสและพี่น้องได้ขึ้นไปยังยอดเขาโอลิมปัส (ภูเขาที่สูงที่สุดในกรีซรองจากเขาโอธริส) ในระหว่างการรบครั้งสุดท้าย ซุสใช้อัสนีบาตตัดยอดเขาโอธริส และเหวี่ยงโครนอสจากบัลลังก์สีดำของเขา เอาชนะราชาแห่งไททันได้สำเร็จ หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าเทพก็ได้บุกเข้าไปในซากปรักหักพังของเขาโอธริส และในที่สุดก็สยบไททันที่เหลืออยู่คือ แอตลาส ไฮเพอเรี่ยน ไอเอพิทัส ครีออส และโคอิออส
กลังจากการสู้รบ เหล่าไซคลอปส์อาวุโสได้ล่ามโซ่ไททันผู้พ่ายแพ้ทั้งหมด ในขณะที่เหล่าเฮคาทอนคีรีส์บังคับให้พวกเขาคุกเข่าต่อหน้าซุส โพไซดอน และฮาเดส ซุสหยิบเคียวของพ่อมา และสับโครนอสเป็นพันชิ้น ในขณะที่ขุนพลไททันที่เหลือต่างก้มหน้าด้วยความอับอาย แอตลาสกลับหัวเราะและเยาะเย้ยซุส โดยกล่าวว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมาหากเหล่าไททันแห่งทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกถูกโยนลงไปในทาร์ทารัส อย่างไรก็ตาม ซุสได้คิดเรื่องนั้นไว้แล้ว และลงโทษแอตลาสด้วยการให้เขาแบกรับน้ำหนักของท้องฟ้าไว้ ในขณะที่ไททันตนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในสงครามถูกเนรเทศลงไปยังทาร์ทารัส หลังจากนั้น ซุสได้เสนอให้เหล่าเฮคาทอนคีรีส์กลับไปยังทาร์ทารัสอีกครั้ง คราวนี้ในฐานะผู้คุมของเหล่าไททัน ซึ่งพวกเขาก็ยินยอมรับหน้าที่นั้นโดยดี
การขึ้นเป็นราชาแห่งเหล่าทวยเทพโอลิมเปียน
เหล่าเทพเลือกเขาโอลิมปัสเป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการ และเหล่าไซคลอปส์อาวุโสได้สร้างวิหารอันงดงามตระการตาที่นั่นสำหรับพวกเขาทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ เหล่าเทพจึงเริ่มเรียกตนเองว่าชาวโอลิมเปียน หลังจากนั้นไม่นาน ซุสได้มีการประชุมส่วนตัวกับโพไซดอนและฮาเดส พี่น้องทั้งสามตกลงที่จะแบ่งปันโลกกัน แม้ว่าโดยสิทธิ์แต่กำเนิดแล้ว ฮาเดส (ในฐานะโอรสองค์โตของโครนอส) ควรจะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา แต่เขาก็ตกลงที่จะแบ่งอาณาเขตเดิมของราชาไททันกับน้องชาย ฮาเดสได้รับโลกใต้พิภพ โพไซดอนยึดครองท้องทะเล (แม้ว่าโอเชียนัสจะยังคงอยู่ที่นั่น แต่เขาก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้โดยไม่มีข้อขัดแย้ง) และซุสอ้างสิทธิ์ในสรวงสวรรค์เป็นอาณาเขตของตน ไม่นานหลังจากการแบ่งสรรนี้ โอรสทั้งสามของโครนอสก็เป็นที่รู้จักในนาม "สามมหาเทพ" อย่างไรก็ตาม อำนาจของซุสก็ยังได้รับการยอมรับว่าเหนือกว่าพี่น้องของเขา (อาจเป็นเพราะเขาเป็นผู้ปลดปล่อยพี่น้องชายหญิงของตน) เขาจึงได้ขึ้นเป็นราชาแห่งเหล่าทวยเทพโอลิมเปียน
การแต่งงานกับเมทิส
ซุสรับเมทิส ผู้เป็นหวานใจวัยเยาว์ของเขา มาเป็นภรรยาหลังสิ้นสุดสงครามไททัน เมทิสได้รับใช้ราชาแห่งโอลิมปัสในฐานะที่ปรึกษาและอาจารย์ของเขามาเกือบตลอดชีวิต เมื่อภรรยาตั้งครรภ์ ซุสได้ทราบจากนางว่านางจะให้กำเนิดบุตรสองคน; คนแรกเป็นธิดา และจากนั้นเป็นบุตรชายผู้ที่จะโค่นล้มเขาในวันหนึ่ง เช่นเดียวกับบิดาและปู่ของเขา ซุสพยายามขัดขวางชะตากรรมนี้ และในขณะที่เมทิสกำลังจะให้กำเนิดธิดา เขาก็หลอกให้นางแปลงร่างเป็นแมลงวันแล้วรีบกลืนนางเข้าไปทันที เมทิสซึ่งติดอยู่ภายในตัวซุส ได้ให้กำเนิดธิดาของพวกเขาคือ อะธีน่า หลายศตวรรษต่อมา หลังจากที่เขาแต่งงานกับเฮร่าแล้ว ซุสเกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนทนไม่ไหว และเพื่อให้หายจากอาการปวด เฮเฟสตัสได้ผ่าศีรษะของซุสออก และอะธีน่า เทพีแห่งปัญญาและสงคราม ก็ได้ปรากฏกายออกมา
การแต่งงานกับเธมิส
ไม่นานหลังจากกลืนเมทิส ซุสได้รับเธมิส ไททันเนสแห่งกฎหมายศักดิ์สิทธิ์และความยุติธรรม มาเป็นภรรยาคนที่สอง เธมิสให้กำเนิดบุตรแฝดสามสองชุด: เหล่าโฮเร (เทพีแห่งฤดูกาล) และเหล่าเทพีแห่งโชคชะตา (บุคคลาธิษฐานแห่งพรหมลิขิตทั้งสามในอาภรณ์สีขาว) เหล่าเทพีแห่งโชคชะตาเกิดมาก็มีลักษณะเป็นหญิงชราแล้ว ซึ่งทำให้ทั้งบิดาและมารดาของพวกนางตกใจกลัว หลังจากเป็นบิดาของเหล่าเทพีแห่งโชคชะตา ซุสซึ่งหวาดกลัวโอกาสที่จะมีบุตรที่น่าเกรงขามยิ่งกว่านี้กับเธมิส จึงเสนอให้ยุติการแต่งงาน ซึ่งไททันเนสก็เห็นด้วยและยอมถอยออกมาอย่างสันติ
ความไม่เต็มใจที่จะแต่งงานของเฮสเทีย
ในขณะเดียวกัน เฮสเทียตัดสินใจที่จะไม่แต่งงานเลยด้วยเหตุผลหลายประการ: ประการแรกคือเธอยังคงจำได้ว่าพ่อของเธอกลืนเธอเข้าไปเมื่อตอนที่เธยังเป็นทารกแรกเกิด และแม่ของเธอต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้สามีที่เป็นอสูรกินทารก เหตุผลที่สองคือตัวซุสเองที่กลืนเมทิสเข้าไป และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เมื่อเธอเห็นบุตรของซุสและเธมิส (โดยเฉพาะเหล่าเทพีแห่งโชคชะตา ซึ่งเป็นที่หวาดกลัวของทุกคน) เฮสเทียไม่ต้องการเสี่ยงที่จะมีบุตรที่อาจจะพิการ แตกต่าง หรือแปลกประหลาด
ดังนั้น เมื่อโพไซดอนและอะพอลโลพยายามเกี้ยวพาราสีเฮสเทียเพื่อแต่งงานหลังจากที่ซุสอนุญาตให้ทั้งคู่ทำเช่นนั้นได้ เธอก็ปฏิเสธพวกเขาทั้งสองอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ และประกาศความปรารถนาของเธอที่จะไม่แต่งงานและเป็นเทพีพรหมจรรย์ตลอดไป เธอยังเสนอที่จะดูแลเตาไฟศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาล และทำทุกอย่างที่เธอสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเธอ ตราบใดที่ความปรารถนาในการเป็นพรหมจรรย์ตลอดนิรันดร์ของเธอได้รับการอนุมัติ แม้จะค่อนข้างสับสนกับคำอธิบายและคำขอของเฮสเทีย แต่ซุสก็ยังคงเห็นชอบด้วย และนับจากนั้นเป็นต้นมา พี่สาวคนโตของเขาก็ได้กลายเป็นเทพีแห่งเตาไฟอย่างเป็นทางการ
ความสัมพันธ์กับดีมิเทอร์
ไม่นานหลังจากยุติการแต่งงานกับไททันเนสเธมิส ซุสก็ได้เกี้ยวพาราสีดีมิเทอร์ น้องสาวผู้งดงามของเขา หลังจากแปลงกายเป็นอสรพิษ เขาก็ทำให้นางตั้งครรภ์ได้สำเร็จ ความสัมพันธ์ของซุสและดีมิเทอร์ส่งผลให้มีธิดาแสนสวยนามว่า เพอร์เซโฟเน่ หลังจากการเกิดของเพอร์เซโฟเน่ ซุสก็ได้เกี้ยวพาราสีและทำให้ดีมิเทอร์ตั้งครรภ์อีกครั้ง ส่งผลให้มีบุตรชายรูปงามนามว่า แซกเรียส แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะจบลงในที่สุด ดีมิเทอร์ก็ยังคงมีความสุขอย่างยิ่ง เพราะเธอรักเพอร์เซโฟเน่และแซกเรียสอย่างสุดซึ้ง และจะใช้เวลาว่างทั้งหมดอยู่กับพวกเขา เพอร์เซโฟเน่ธิดาของพวกเขา เติบโตขึ้นมาโดยไม่ขาดเหลือสิ่งใด อยู่ใกล้ชิดกับมารดาเสมอ และต่อมาได้กลายเป็นเทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิและดอกไม้ และมารดาของเธอก็ยังได้แบ่งพลังอำนาจบางส่วนในการควบคุมผืนดินให้เธอด้วย แซกเรียส บุตรชายของพวกเขา สนิทสนมกับบิดามากกว่า โดยได้รับนิสัยที่ไม่ค่อยใส่ใจอะไรรวมถึงเสน่ห์ของบิดามา อย่างไรก็ตาม แซกเรียสก็ยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับมารดาและน้องสาว ดีมิเทอร์ทะนุถนอมบุตรของเธอประหนึ่งสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต และใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับพวกเขา
การแต่งงานกับเฮร่า
เฮร่า ภรรยาและพี่สาวคนโตของเขา ไม่นานหลังจากเธอกลับมาจากโอเชียนัสและเททิส (ซึ่งเธอไปอยู่ด้วยเพื่อเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเอง) เฮร่าก็เป็นที่ต้องตาของซุส เนื่องด้วยเธอเฉลียวฉลาดอย่างยิ่งและเป็นเทพีที่งดงามที่สุดในปวงสรรพสิ่ง (ก่อนการกำเนิดของอะโฟรไดท์) จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะสนใจเธอ แต่ในขณะที่เฮร่าก็มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อเขาเช่นกัน เธอกลับปฏิเสธที่จะเป็นอีกหนึ่งชัยชนะของราชาแห่งทวยเทพ อย่างไรก็ตาม ซุสก็ดื้อรั้นไม่แพ้กันและไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ เขาใช้ทักษะการร้องเพลง การเต้น และการพูดตลกอันยอดเยี่ยมของเขาเพื่อสร้างความบันเทิงและเกี้ยวพาราสีเฮร่า แต่นางก็ไม่ยอมใจอ่อนในตอนแรก ซุสพนันกับเฮร่าว่าหากนางยอมสารภาพรักกับเขาเมื่อใด นางจะต้องมาเป็นเจ้าสาวของเขา
ไม่กี่วันต่อมา ซุสได้สร้างพายุฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรงรอบโอลิมปัส และปลอมตัวเป็นนกคัคคูบาดเจ็บอย่างชาญฉลาด นกคัคคูบินเข้าไปในห้องของเฮร่า ขณะที่นางกำลังจะปิดหน้าต่าง และร่วงลงบนพื้นหินอ่อน เทพีผู้มีใจเมตตาอุ้มนกที่เธอคิดว่าเป็นสัตว์บาดเจ็บและไร้ทางสู้ขึ้นมา เช็ดขนให้แห้ง และช่วยให้มันฟื้นด้วยน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ เช้าวันรุ่งขึ้น ดูเหมือนนกคัคคูจะไม่ยอมจากไป และยังเอาจะงอยปากถูไถนิ้วของเฮร่าอย่างน่าเอ็นดู เฮร่ายอมรับว่าเธอเองก็เริ่มชอบนกตัวนั้นมาก และค่อยๆ กอดมันไว้ในอ้อมแขน ในทันใดนั้นเอง นกคัคคูก็แปลงร่างกลับเป็นซุสผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเฮร่า
แม้ว่าเธอจะทั้งอับอายและโกรธเคืองกับการหลอกลวงของพี่ชาย เฮร่าก็ยังคงประทับใจในความเฉลียวฉลาดและไหวพริบของซุสมาก ในที่สุดเธอก็ตกลงที่จะเป็นคู่ครองของเขาโดยมีเงื่อนไขว่าเขาต้องแต่งงานกับเธอ และยังคงซื่อสัตย์ต่อเธอ ซึ่งเป็นสัญญาที่ซุสทำลายในเวลาต่อมาด้วยการมีบุตรธิดากึ่งเทพมากมายกับเหล่ามนุษย์และภูตธรรมชาติ ซึ่งทำให้เฮร่าโกรธแค้นอย่างยิ่ง และมักจะสาปแช่งเด็กเหล่านั้น งานอภิเษกสมรสของพวกเขา (ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นงานแต่งงานที่งดงามและยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์) จัดขึ้นอย่างอลังการบนเขาโอลิมปัส และมีเทพเจ้ามากมายรวมถึงไททันที่เป็นกลางเข้าร่วมงาน ซุสและเฮร่ามาถึงในราชรถทองคำขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดยอีออส (ผู้ส่องแสงสีชมพูเจิดจ้าให้แก่เจ้าบ่าวและเจ้าสาว) และพิธีการดำเนินโดยเหล่าเทพีแห่งโชคชะตาทั้งสามด้วยตนเอง จากการแต่งงานกับซุส เฮร่าได้กลายเป็นราชินีแห่งเขาโอลิมปัสและเหล่าทวยเทพโอลิมเปียน ซุสและเฮร่าได้รับของขวัญล้ำค่ามากมายจากแขกที่มาร่วมงาน แต่ของโปรดของเฮร่าคือต้นแอปเปิ้ลวิเศษ (ที่มีผลแอปเปิ้ลสีทอง) ซึ่งเธอได้รับจากไกอา เฮร่าได้นำต้นไม้นั้นไปปลูกทางทิศตะวันตกอันไกลโพ้น ในสวนผลไม้ที่สวยงาม เฮร่าได้มอบหมายให้เหล่านางไม้เฮสเพอริดีส ธิดาของแอตลาส ดูแลต้นไม้นั้น แต่เนื่องจากเหล่านางไม้บางครั้งก็แอบเด็ดแอปเปิ้ลจากต้นไม้เสียเอง เธอจึงได้วางมังกรหนึ่งร้อยหัวที่ดุร้ายชื่อลาดอนไว้ที่นั่นด้วย สวนแห่งนี้ต่อมาได้ชื่อว่า สวนแห่งเฮสเพอริดีส
คู่บ่าวสาวมีความสุขกับการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ และต่างก็มีความสุขซึ่งกันและกันเป็นเวลา 300 ปี และมีบุตรธิดาด้วยกันห้าองค์: แอรีส (เทพแห่งสงคราม), ฮีบี้ (เทพีแห่งความเยาว์วัย), อิลิธยา (เทพีแห่งการให้กำเนิด), เฮเฟตัส (เทพแห่งไฟและการตีเหล็ก; บางตำนานกล่าวว่านางตั้งครรภ์เขาโดยไม่มีซุส) และเอนโย (เทพีแห่งสงคราม) อย่างไรก็ตาม ในที่สุดซุสก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย และไม่นานเขาก็เริ่มมีความสัมพันธ์นอกใจครั้งแรกจากหลายๆ ครั้ง เฮร่าโกรธแค้นและผิดหวังอย่างที่สุดกับความไม่ซื่อสัตย์ของเขา และอุทิศเวลาส่วนใหญ่ไปกับการจับตาดูซุส รวมถึงทำให้ชีวิตของเหล่านางสนมและบุตรนอกสมรสของเขาต้องทุกข์ทรมาน ความเกลียดชังของเธอเห็นได้ชัดที่สุดในเรื่องราวของเฮอร์คิวลีส ซึ่งเธอพยายามจะสังหารเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การก่อกบฏบนโอลิมปัส
เฮร่า ซึ่งโกรธแค้นอย่างยิ่งกับความไม่ซื่อสัตย์ของสามี ตัดสินใจเริ่มการก่อกบฏของชาวโอลิมเปียนต่อซุสเป็นครั้งแรก เฮร่าสามารถรวบรวมการสนับสนุนจากโพไซดอน รวมถึงอะพอลโล และอะธีน่าได้สำเร็จ เย็นวันนั้น อะพอลโล โพไซดอน และอะธีน่า ซ่อนตัวอยู่ในห้องโถงติดกับห้องส่วนตัวของซุส รอสัญญาณจากเฮร่า ทันทีที่ซุสหลับใหล ทั้งสี่ก็รีบพันธนาการราชาแห่งโอลิมปัสอย่างแน่นหนาด้วยโซ่ทองคำที่รัดแน่นและไม่มีวันขาดซึ่งอะธีน่าได้สร้างขึ้น แม้จะถูกล่ามโซ่และขยับเขยื้อนไม่ได้โดยสิ้นเชิง ซุสผู้กราดเกรี้ยวก็ยังคงดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ในที่สุด พวกเขาพยายามใช้เหตุผลกับซุส และเรียกร้องให้ซุสเป็นผู้ปกครองที่ดีกว่านี้ ซุสปฏิเสธ ซึ่งทำให้เฮร่าเสนอให้ปล่อยเขาถูกล่ามโซ่ไว้ในห้องของเขาจนกว่าจะยอมตกลง หลังจากนั้นไม่นาน ชาวโอลิมเปียนทั้งสี่ก็เดินทางไปยังห้องบัลลังก์เพื่อจัดการประชุมแบบประชาธิปไตยครั้งแรก (และครั้งสุดท้าย) ของสภาโอลิมเปียน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นงานที่ยุ่งยากมาก โชคดีที่นิมฟ์แห่งทะเลเธทิสมาค้นพบราชาแห่งโอลิมปัสผู้กำลังดิ้นรนอย่างรุนแรงและส่งเสียงคำราม หลังจากโน้มน้าวให้ซุสเมตตาต่อผู้ก่อกบฏชาวโอลิมเปียน เธทิสก็สามารถตามหาเฮคาทอนคีรีส์ไบรอาเรียสได้ที่ริมชายฝั่งทะเล เขาดีใจอย่างยิ่งที่จะช่วยซุส โดยระลึกได้ว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณซุสที่ช่วยให้ตนเป็นอิสระจากทาร์ทารัสและแคมเป้ ไบรอาเรียสรีบปลดโซ่ให้ซุสอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นซุสก็คว้าอัสนีบาตของตน และบุกเข้าไปในห้องบัลลังก์ ยุติการประชุมอย่างรุนแรง ซุสยังคงรักษาสัญญาและเมตตาต่อผู้ก่อกบฏ แต่เขาก็ยังคงลงโทษพวกเขาทั้งหมดตามความเหมาะสม
โพไซดอนและอะพอลโลถูกถอดถอนความเป็นเทพและพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นการชั่วคราว และต่อมาถูกบังคับให้รับใช้ลาโอมีดอน กษัตริย์มนุษย์แห่งกรุงทรอย ลาโอมีดอนสั่งให้อะพอลโลเลี้ยงฝูงสัตว์ของเขา และให้โพไซดอนสร้างกำแพงขนาดใหญ่รอบเมืองทรอยด้วยมือเปล่า กำแพงเมืองทรอยอันโด่งดังมีความทนทานอย่างยิ่ง และต่อมาได้ยับยั้งกองทัพกรีกไว้เป็นเวลานานถึง 10 ปีในสงครามทรอย หลายปีต่อมา หลังจากทำภารกิจสำเร็จ โพไซดอนได้กลับสู่โอลิมปัส ที่ซึ่งซุสยุติการเนรเทศของโพไซดอนในที่สุด และฟื้นคืนความเป็นเทพและพลังอำนาจให้เขา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการก่อกบฏของโพไซดอน ซุสจึงเกิดความไม่ไว้วางใจอย่างรุนแรงและยาวนานต่อน้องชายของเขา ซึ่งหลายพันปีต่อมาทำให้เขาสงสัยว่าโพไซดอนขโมยอัสนีบาตของเขาไป ซุสยังกลายเป็นคนที่ไม่ไว้วางใจอะพอลโลอย่างมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เฮร่าก็ได้รับโทษที่รุนแรงที่สุด: ซุสล่ามนางไว้เหนือหน้าผาแห่งห้วงลึกเคออสอันน่าสะพรึงกลัว ในทุกวัน ซุสจะไปเยี่ยมนางและขู่ว่าจะตัดโซ่ด้วยอัสนีบาตของเขา และมองดูนางร่วงหล่นลงไปในห้วงลึกนั้น เฮเฟตัสได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของมารดามาตลอดทางจากโอลิมปัส ซึ่งทำให้เขาโกรธแค้นอย่างยิ่ง เพราะเขาทนไม่ได้ที่ได้ยินนางทนทุกข์ทรมานจากการลงโทษที่รุนแรงเช่นนั้น ผลท้ายที่สุด เขาก็ปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระ เฮร่าโอบกอดเขาทั้งน้ำตา และสัญญาว่าจะไม่เรียกเฮเฟตัสว่าอัปลักษณ์อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ซุสโกรธจัด ดังนั้น เขาจึงบุกเข้าไปในห้องทำงานของเฮเฟตัสอย่างรุนแรง เอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย และเหวี่ยงเฮเฟตัสจากยอดเขาโอลิมปัสไปจนถึงเกาะเลมนอส (ซึ่งทำให้กระดูกทุกชิ้นในร่างกายของเขาแตกหัก) อย่างไรก็ตาม ในที่สุด บาดแผลของเฮเฟตัสก็หายดี และเขาก็กลับมายังโอลิมปัส ซุสรู้สึกละอายใจอยู่บ้างกับอารมณ์โกรธในอดีตที่มีต่อบุตรชายของเขา และ (ในการกระทำที่หาได้ยาก) ได้กล่าวขอโทษและต้อนรับบุตรชายกลับมาด้วยอ้อมแขนที่เปิดกว้าง
ในจักรวาลไรออร์แดน
ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา เหล่าเทพโอลิมเปียนได้ย้ายถิ่นฐานไปทางตะวันตก สู่ดินแดนที่เป็นศูนย์กลางอำนาจและอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บุตรธิดากึ่งเทพของซุสและโพไซดอนได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้กับบุตรธิดากึ่งเทพของฮาเดส หลังจากฝ่ายของฮาเดส (นาซีเยอรมนี อิตาลีฟาสซิสต์ และจักรวรรดิญี่ปุ่น) พ่ายแพ้ เทพพยากรณ์ได้ทำนายว่าบุตรธิดาเลือดผสมของหนึ่งในสามพี่น้องมหาเทพจะเป็นผู้ก่อให้เกิดการล่มสลายหรือการไถ่บาปของโอลิมปัส เหตุนี้ทำให้สามมหาเทพต้องให้สัตย์สาบานว่าจะไม่มีบุตรธิดากึ่งเทพอีกต่อไป แต่เนื่องจากฮาเดสมีบุตรธิดากึ่งเทพอยู่แล้วสองคน (นิโค และ เบียงก้า ดิแอนเจโล่) ซุสจึงสั่งให้เขานำตัวเด็กทั้งสองไปยังค่ายฮาล์ฟบลัด ฮาเดสไม่เชื่อฟัง ด้วยเกรงว่าบุตรธิดาของตนจะถูกหันมาต่อต้านหรือถูกสังหาร ซุสผู้โกรธเกรี้ยวพยายามสังหารเด็กกึ่งเทพทั้งสอง คือ เบียงก้า และ นิโค ดิแอนเจโล่ โดยทำลายโรงแรมที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ในขณะนั้น แต่ฮาเดสก็สามารถปกป้องพวกเขาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถช่วยมาเรีย ดิแอนเจโล่ มารดาของเด็กๆ ไว้ได้ และเขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง พร้อมขู่ว่าจะ "ขยี้ซุส" สำหรับสิ่งที่ได้ทำลงไป แต่กระนั้น ฮาเดสกลับไปสาปแช่งเทพพยากรณ์แทน เพราะเขาไม่สามารถระบายความโกรธไปยังซุสได้โดยตรง และเป็นนาง (เทพพยากรณ์) ที่เป็นผู้เอ่ยคำทำนายนั้น
ธาเลีย และ เจสัน
ธาเลีย และ เจสัน เกรซ บุตรธิดาที่เขาให้กำเนิดในภาคเทพกรีกและโรมันตามลำดับ ซุสหลงใหลในตัวดาราสาวสวยทางโทรทัศน์คนหนึ่งนามว่า เบริล เกรซ อย่างมาก และมีบุตรกับเธอหนึ่งคน คือ ธาเลีย เกรซ แม้ว่าเขาจะสาบานต่อแม่น้ำสติกซ์ว่าจะไม่มีบุตรกับมนุษย์อีกต่อไป เขาจากเธอไปแต่ก็กลับมาเจ็ดปีต่อมา ในภาคเทพโรมันของเขาก็คือ จูปิเตอร์ ภายในปีนั้น เขาก็ได้ให้กำเนิดบุตรกึ่งเทพโรมัน เจสัน เกรซ ผู้ซึ่งได้รับการตั้งชื่อตามเจสัน (ต้นตำรับ) แห่งอาร์โกนอท เพื่อเอาใจเฮร่า (เนื่องจากเจสันแห่งอาร์โกนอทเป็นวีรบุรุษคนโปรดของเฮร่า) ซึ่งกำลังโกรธเคืองกับความไม่ซื่อสัตย์ของเขา และจากความเสี่ยงที่เกิดจากการมีบุตรกรีกและโรมันเกิดในครอบครัวเดียวกัน ในที่สุด ซุสก็จากเบริลไปอีกครั้ง ตามธรรมเนียมที่เทพเจ้ามักจะละทิ้งคู่ครองที่เป็นมนุษย์ แม้ว่านั่นจะทำให้เธอกลายเป็นคนที่ไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างมาก และเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์ในเวลาต่อมา
ฮาเดสค้นพบการมีอยู่ของธาเลียและโกรธจัดที่ซุสผิดคำสาบาน การทรยศนี้ ประกอบกับความจริงที่ว่าการตายของ มาเรีย ดิแอนเจโล่ ด้วยน้ำมือของซุสยังคงฝังใจเขา ทำให้ฮาเดสส่งกองทัพอสูรที่น่ากลัวที่สุดของเขาตามล่าธิดาของซุส ในขณะที่ธาเลียและเพื่อนๆ ของเธอ — แอนนาเบ็ธ เชส วัยเจ็ดขวบ, ลุค คาสเทลแลน วัยสิบสี่ปี และเซเทอร์ชื่อ โกรเวอร์ อันเดอร์วู้ด — เดินทางมาถึงเขตแดนค่ายฮาล์ฟบลัด เหล่าอสูรก็ถาโถมเข้าใส่พวกเขา ทำให้ธาเลียต้องสละชีวิตตนเองเพื่อช่วยเพื่อนๆ ซุสสงสารเธอและแปลงร่างธาเลียให้เป็นต้นสนเพื่อรักษาวิญญาณของเธอไว้ ให้พนจากเงื้อมมือของฮาเดส
ลักษณะรูปลักษณ์
บุคลิกภาพ
แม้จะเป็นเทพแห่งเกียรติยศและความยุติธรรม และเรียกร้องมาตรฐานสูงจากผู้อื่น แต่ตัวซุสเองก็ไม่ได้เป็นตัวอย่างทางศีลธรรมที่ดีเสมอไป ในความเป็นจริง บางครั้งเขาก็อาจจะหวาดระแวง เห็นแก่ตัว และกลับกลอกอย่างยิ่ง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการกลับกลอกของเขาแสดงให้เห็นได้จากการสาบานของ "บิ๊กทรี" ที่จะไม่มีบุตรเดมิก็อดอีกต่อไป: แม้ว่า เฮดีส จะไม่ได้ทำลายคำสาบาน (เนื่องจาก บิอันก้า และ นิโค เกิดก่อนที่จะมีการสาบาน) แต่ซุสก็ยังพยายามสังหารบุตรของน้องชายของเขา ต่อมา เขาก็ทำลายคำสาบานด้วยตัวเองโดยการให้กำเนิด ธาเลีย และ เจสัน ซึ่งทำให้ทั้งสองคนต้องเผชิญกับผลลัพธ์ของคำสาบานที่เขาทำลายลงไป แม้กระทั่งหลังจากที่เพอร์ซีย์ส่งคืน "สายฟ้าหลัก" ให้กับเขาและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาในการขโมย เขาก็ยังอ้างว่าการที่โพไซดอนให้กำเนิดเพอร์ซีย์นั้นเป็นอาชญากรรมร้ายแรง แต่ก็ยอมให้เพอร์ซีย์มีชีวิตอยู่เพื่อสันติภาพกับน้องชายของเขา อย่างไรก็ตาม ซุสได้ขอบคุณเดมิก็อดในแบบของเขาที่นำสายฟ้าหลักกลับคืนมาให้ แม้ว่าเขาจะขู่เพอร์ซีย์ว่าจะทำร้ายหากเขาบินอีก
หากซุสคิดว่ากำลังถูกวางแผนร้ายหรือถูกดูหมิ่น เขาก็จะเป็นคนที่ไม่ให้อภัยอย่างมาก ซุสมักจะปล่อยให้ลักษณะนิสัยเชิงลบของเขาเข้าครอบงำการตัดสินใจที่ดีกว่า การตัดสินใจของซุสไม่ได้ตั้งอยู่บนความยุติธรรมเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับความปรารถนาส่วนตัวของเขาและสิ่งที่เขาเห็นว่าดีที่สุดสำหรับตัวเขาเอง มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ในบางแง่ ซุสก็กระหายอำนาจ ซึ่งเห็นได้ชัดจากตำแหน่งราชาแห่งทวยเทพและความกลัวว่าพี่น้องของเขาจะทรยศหรือโค่นล้มบัลลังก์ของเขา
ซุสมีแนวโน้มที่จะผูกใจเจ็บ เขามีความไม่ไว้วางใจโพไซดอนอย่างมากและยาวนาน เนื่องจากเขาเชื่อว่าโพไซดอนเคยพยายามโค่นล้มเขาจากบัลลังก์ ซุสตำหนิโพไซดอนทันทีสำหรับทุกสิ่งที่ไม่ว่าโพไซดอนจะผิดเพียงเล็กน้อยแค่ไหน แม้จะไม่มีหลักฐานและข้อเท็จจริงทั้งหมดชี้ไปในทางตรงกันข้ามก็ตาม ตัวอย่างเช่น ซุสตำหนิโพไซดอนทันทีที่ขโมยอาวุธของเขาโดยไม่ได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเลย ต่อมา เขาก็ตำหนิ อะพอลโล ที่เร่งให้เกิดสงครามไจแกนโทมาชีครั้งที่สอง และยังคงไม่ไว้วางใจเขาที่เข้าร่วมในการพยายามโค่นล้มและที่เคยสังหาร ไซคลอปส์ผู้เฒ่า หลายคนเพื่อแก้แค้นการตายของลูกชายของเขา
ซุสเกลียดการถูกทำให้ขายหน้าอย่างที่สุด และพยายามโยนความผิดให้ผู้อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ตัวเองดูไม่ดีเลย เขาตำหนิอะพอลโลและ เฮร่า สำหรับสงครามไจแกนโทมาชีครั้งที่สอง ความขัดแย้งระหว่างเดมิก็อดชาวกรีกและโรมัน เนื่องจากอะพอลโลได้มอบ พยากรณ์ คนใหม่ที่กล่าวคำพยากรณ์เจ็ดคน และเฮร่าก็รับหน้าที่ตีความคำพยากรณ์นั้น อย่างไรก็ตาม ในการโยนความผิด ซุสก็ละเลยข้อเท็จจริงที่ว่าอะพอลโลมีการควบคุมโดยตรงหรือความเข้าใจในคำพยากรณ์ที่มาจากพยากรณ์น้อยมาก คำพยากรณ์เจ็ดคนถูกทำนายไว้ล่วงหน้าหลายศตวรรษแล้วโดยคัมภีร์ Sibylline Books และยักษ์ใหญ่ก็กำลังพยายามขึ้นมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หากเฮร่าไม่ลงมือทำ ก็คงจะสายเกินไปที่จะทำอะไรได้
ซุสมักจะถูกกล่าวถึงว่าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาถูกพิสูจน์ว่าผิดหรือถูกทำให้ดูโง่ เขาจะโกรธ พยายามโยนความผิดไปที่อื่น และมองว่าการพยายามหาเหตุผลกับเขาเป็นการท้าทายอำนาจ (หรืออาจจะเป็นการตัดสินใจ) ของเขา สิ่งเดียวที่ทำได้คือรอให้เขาใจเย็นลงแล้วค่อยพยายามหาเหตุผลกับเขาในภายหลัง
ข้อบกพร่องหลายประการของซุสมักจะขัดขวางไม่ให้เขาเป็นกษัตริย์ที่ดี การปฏิเสธที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจเมื่อเขาผิด แนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนเทพองค์อื่นๆ หรือแม้แต่ยอมรับว่ามีปัญหาอยู่จริง ได้ทำให้ทั้ง โอลิมปัส และโลกตกอยู่ในอันตรายหลายครั้ง จึงมีข้อสังเกตว่าแท้จริงแล้วเฮร่าต่างหากที่เป็นผู้รักษาสมดุลของโอลิมปัสไว้ และหากไม่มีเธอ เทพเจ้าก็จะล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว
แม้จะเป็นผู้ปกครองจักรวาล แต่ซุสก็มักจะทำผิดพลาดทางยุทธวิธีครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้ความปลอดภัยของโอลิมปัสตกอยู่ในอันตราย เขาไม่ได้ใส่ใจที่จะรักษากองทัพถาวรเพื่อปกป้องโอลิมปัส โดยโยนความรับผิดชอบไปให้เพอร์ซีย์ แอนนาเบธ และ ไครอน แม้จะมีการเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็รวบรวมเทพเจ้าทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับ ไทฟอน ทั้งที่ภัยคุกคามที่แท้จริงคือ โครนอส ซุสไม่ได้ใส่ใจที่จะดำเนินการอย่างทันทีกับ ไททัน ที่กำลังผงาดขึ้นมา ซึ่งทำให้เพอร์ซีย์ผิดหวังอย่างมาก แม้จะมีความประมาทอย่างยิ่งในการเผชิญหน้ากับไทฟอน เขาก็ทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อเอาชนะสัตว์ประหลาดนี้ ถึงขั้นที่เขาไม่ยอมให้ อะธีน่า ออกจากการปะทะ เพราะเธอเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทักษะทางยุทธวิธีพอสมควร ถึงกระนั้น ต่อมาเขาก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะหยุดยักษ์ใหญ่ทันทีเช่นกัน แต่กลับทำให้แย่ลงด้วยการตัดการสื่อสารกับเดมิก็อด
ซุสดูเหมือนจะมีพรสวรรค์ในการออกจากฉากอย่างน่าประทับใจและเป็นคนชอบโอ้อวด ซึ่งเป็นลักษณะที่โพไซดอนชี้ให้เพอร์ซีย์ฟัง โดยบอกว่าซุสจะทำได้ดีในฐานะเทพแห่งโรงละคร
แม้จะมีข้อบกพร่องหลายประการ ซุสก็มีด้านที่น่านับถืออยู่บ้าง เขารักลูกๆ ของเขา แต่ไม่สามารถแสดงความรักได้มากเท่าเทพองค์อื่นๆ เพราะเขาเป็นผู้นำและต้องเป็นแบบอย่าง เรอาก็ยืนยันใน The Hidden Oracle ว่าซุส (ลูกชายคนสุดท้องของเธอ) เป็นพ่อที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในการแสดงความรักหรือความห่วงใยแบบบิดาในลักษณะที่เข้มงวด เพื่อให้ลูกๆ ของเขาประพฤติตนอย่างมีความรับผิดชอบ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เพียงแค่เลือกข้างเท่านั้น แม้กระนั้น เขาก็มักจะเลือกข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกสาวของเขา: เขายืนกรานว่าการกำเนิดของเพอร์ซีย์เป็นอาชญากรรมในตัวมันเอง ทั้งที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าโพไซดอนเลยในการให้กำเนิด ธาเลีย เขายังโปรดปราน อาร์เทมิส มากกว่า อะพอลโล แม้ว่าทั้งคู่จะไม่เชื่อฟังเขาในบางครั้ง และอาร์เทมิสก็ยืนยันว่าซุสไม่เคยโกรธเธอได้นาน เพราะเธอมีความสามารถที่จะทำให้เขาใจอ่อนและให้อภัย ความโปรดปรานอย่างมากของเขาที่มีต่อ อะธีน่า ก็ชัดเจนเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอไม่ถูกลงโทษแม้จะช่วยเฮร่าพยายามโค่นล้มเขา เขายังแสดงให้เห็นว่าสามารถประทับใจและแสดงความรักต่อลูกๆ ได้ เช่น เมื่อธาเลียใกล้จะตายเนื่องจากสัตว์ประหลาดของเฮดีส ซึ่งถูกส่งมาเพื่อสังหารเธอโดยเฉพาะ เพราะเฮดีสต้องการแก้แค้นซุสสำหรับการตายของ มาเรีย ซุสสงสารลูกสาวของเขา อาจเป็นเพราะสถานการณ์ของเธอส่วนหนึ่งเกิดจากซุส และแทนที่จะปล่อยให้เธอตายและลงไปสู่อันเดอร์เวิลด์และเผชิญหน้ากับความโกรธของเฮดีส เขาก็เปลี่ยนเธอให้เป็นต้นไม้เพื่อให้เธอมีชีวิตอยู่และต่อมาก็ลงคะแนนเสียงให้ไว้ชีวิตธาเลียและกล่าวอย่างเปิดเผยว่าเธอทำได้ดี ใน The Tower of Nero แม้ซุสจะอ้างว่าห่วงใยการตายของเจสัน แต่เฮร่ากลับกล่าวหาว่าเขาไม่แยแส ในขณะที่เฮร่าเอง ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องความเกลียดชังลูกเลี้ยงของเธอ กลับเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการสูญเสียเจสันแม้จะผ่านไปหลายเดือนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ซุสก็ยังคงหันหลังให้กับลูกๆ ของเขาอย่างรวดเร็วหากเขารู้สึกว่าพวกเขาดูถูกเขาหรือท้าทายอำนาจของเขา ตัวอย่างนี้สามารถเห็นได้อีกครั้งใน The Hidden Oracle ซึ่งอะพอลโลเปิดเผยว่าซุสมีนิสัยชอบขู่ลูกๆ ของเขาด้วยสายฟ้าของเขา และเขายังยืนยันว่าพ่อของเขาไม่ใช่คนที่จะมองข้ามหรือเพิกเฉยต่อสิ่งที่เขาถือว่าเป็นการดูหมิ่นครั้งใหญ่
แม้ว่าซุสจะใจร้อนและเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่เขาก็สามารถเห็นอกเห็นใจผู้ที่ได้รับความอยุติธรรมเช่นเดียวกับที่เขาและเทพองค์อื่นๆ เคยประสบมาในชีวิต ตัวอย่างที่ชัดเจนนี้สามารถพบได้ใน The Titan's Curse ซึ่งเขาเต็มใจที่จะสังหารโอฟิโอทอรัสมากที่สุดเนื่องจากความเสี่ยงที่มันจะก่อให้เกิดกับเทพเจ้า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เพอร์ซีย์ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เทพเจ้าต้องการทำนั้นเหมือนกับสิ่งที่โครนอสเคยพยายามทำกับพวกเขาในอดีต ซุสก็เป็นเทพองค์แรกที่ยอมรับความอยุติธรรมและพิจารณาการตัดสินใจของเขาใหม่
สุดท้ายแต่ไม่น้อย ตามที่เปิดเผยใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสมีด้านที่เฉลียวฉลาดและมีเสน่ห์ซ่อนอยู่ภายใต้บุคลิกที่เข้มงวด เคร่งขรึม และจริงจังของเขา แต่เขาก็ไม่ค่อยแสดงออกมา ต้องขอบคุณความรู้เกี่ยวกับเรื่องตลกของเซเทอร์ที่ตลกขบขันอย่างเหลือเชื่อ ทำให้เขามีอารมณ์ขันด้วย
ใน The Chalice of the Gods ซุสทำตัวโอ้อวดในการรับประทานอาหารเช้ากับเทพองค์อื่นๆ และเรอา โดยเล่าเรื่องที่เขาหลอกโครนอสให้คายพี่น้องของเขาออกมาในเวอร์ชันที่เกินจริง เวอร์ชันเรื่องราวของซุสมีทั้งลามะในเกาะครีตซึ่งอาจไม่มีอยู่จริงบนเกาะครีตในขณะนั้น ตามที่ โกรเวอร์ อันเดอร์วูด ชี้ให้เห็น และเขาใช้เวลานานในการเล่าเรื่อง เทพองค์อื่นๆ และอาจรวมถึงเรียด้วย ดูเหมือนจะรำคาญกับการกระทำของซุสและพยายามขัดขวางเขา นอกจากนี้ เขายังแสดงให้เห็นว่ายังคงปรารถนา กานิมีด อย่างเปิดเผย ซึ่งทำให้เฮร่าไม่พอใจ โพไซดอนต่อมาเรียกการที่เพอร์ซีย์แอบเข้าไปในงานรับประทานอาหารเช้าว่าเป็นการกระทำที่ประมาท เพราะแม้แต่โพไซดอนก็จะไม่ยอมให้ใครจับได้ในงานแบบนั้น ซึ่งเพอร์ซีย์ก็ไม่สามารถตำหนิพ่อของเขาได้เลย
ความสามารถและพลัง
- พละกำลังมหาศาล: ซุสมีความสามารถทางกายภาพที่เหลือเชื่อ และใน Percy Jackson's Greek Gods มีการกล่าวถึงว่าเขาสามารถยกและขว้างภูเขาทั้งลูกใส่ศัตรูของเขาได้ ที่โดดเด่นที่สุดคือ ซุสสามารถบดขยี้และกักขัง ไทฟอน ได้ด้วยตัวเอง (สิ่งมีชีวิตเดียวที่ทราบว่ามีพละกำลังเหนือกว่าเขา) โดยการขว้าง ภูเขาเอตนา ทับลงไป นอกจากนี้ เมื่อ เฮเฟตัส ทำให้เขาโกรธ ซุสก็สามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย และขว้างลูกชายของเขาทั้งหมดจากภูเขาโอลิมปัสไปยังเกาะเลมนอส สิ่งนี้สร้างความประทับใจเป็นพิเศษเพราะเฮเฟตัสเป็นหนึ่งในเทพโอลิมปัสที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านพละกำลัง ซึ่งเกินกว่า แอรีส ไปอย่างมาก ใน The Blood of Olympus ซุสสามารถขว้าง อาร์โก้ ทู ทั้งหมดจาก เอเธนส์ ไปยัง ค่ายฮาล์ฟบลัด ซึ่งอยู่ห่างกันครึ่งโลกด้วยความเร็วเหนือเสียง
- ความสามารถในการต่อสู้: ซุสเป็นนักรบที่มีทักษะสูง น่าเกรงขาม และมีประสบการณ์มาก เขาจึงเอาชนะลูกชายของเขา เฮเฟตัส ได้อย่างง่ายดาย เอาชนะ แคมป์ ผู้ซึ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ต่อสู้กับบิดาของเขาที่เป็นไททันคือ โครนอส และแม้กระทั่งต่อสู้กับ ไทฟอน ซึ่งทรงพลังกว่าได้ การต่อสู้ครั้งนั้นยากลำบากและยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ และทั้ง ไดโอนีซุส และเฮเฟตัส ซึ่งเป็นเทพโอลิมปัสที่ทรงพลังอย่างมหาศาล ถูกขับออกจากสนามรบอย่างรุนแรงด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของซุสในเทคนิคและกลยุทธ์การต่อสู้ แม้กระนั้น เขาก็ยอมรับว่ามีผู้ที่มีทักษะและรอบรู้ด้านกลยุทธ์มากกว่าเขา เนื่องจากเขาถือว่า อะธีน่า เป็นนักยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดของเขาในการต่อสู้กับไทฟอน
- การควบคุมบรรยากาศ (Atmokinesis): ในฐานะเทพแห่งท้องฟ้า ซุสสามารถควบคุมสภาพอากาศได้อย่างสมบูรณ์และสามารถสร้างสภาพอากาศใดก็ได้ฃ
- การควบคุมน้ำ (Hydrokinesis) (จำกัด): ใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสก่อให้เกิดน้ำท่วมโลกโดยทำให้กระแสน้ำจำนวนมหาศาลไหลลงมาจากฟากฟ้าทั่วโลกเป็นเวลาเก้าวันเก้าคืน ส่งผลให้ทั่วโลกถูกน้ำท่วม (ยกเว้นภูเขาที่สูงที่สุด) และมนุษย์ส่วนใหญ่ถูกทำลาย ดิวคาเลียนและพิร่าเป็นไม่กี่คนที่รอดชีวิตจากหายนะครั้งใหญ่นี้
- การควบคุมฝน (Hyetokinesis): ในฐานะเทพแห่งสภาพอากาศ เขามีการควบคุมและอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือฝนอย่างสมบูรณ์ และเขาสามารถเลือกได้ว่าจะฝนจะตกหรือไม่ หรือแม้แต่ตัดสินใจเมื่อฝนควรหยุด
- พายุลูกเห็บ: ซุสสามารถสร้างสภาพอากาศใดก็ได้และสามารถเรียกพายุลูกเห็บที่ทรงพลังเพื่อทำลายคู่ต่อสู้ของเขา เมื่อซุสต่อสู้กับไทฟอน เขาเรียกพายุลูกเห็บเพื่อฉีกร่างกายขนาดใหญ่ของไทฟอน
- พายุทอร์นาโด: ซุสสามารถสร้างสภาพอากาศใดก็ได้ และนั่นรวมถึงพายุทอร์นาโดที่ทรงพลังด้วย
- พายุเฮอร์ริเคน: ซุสสามารถสร้างสภาพอากาศใดก็ได้ และนั่นรวมถึงพายุเฮอร์ริเคนและพายุไซโคลนที่ทรงพลังด้วย
- พายุฝนฟ้าคะนอง: ซุสมีชื่อเสียงในการเรียกพายุฝนฟ้าคะนองที่ทรงพลังที่สุด เมื่อใดก็ตามที่ซุสไม่พอใจ พายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงจะปรากฏขึ้นทันทีที่สั่นสะเทือนพื้นดิน ซึ่งแสดงให้เห็นใน The Blood of Olympus
- การควบคุมไฟฟ้า (Electrokinesis): ในฐานะเทพแห่งฟ้าร้องและสายฟ้า ซุสมีการควบคุมไฟฟ้าสถิตและไฟฟ้าจากสวรรค์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้เขามีความสามารถดังนี้:
- การสร้างสายฟ้า: ซุสสามารถสร้างสายฟ้าจำนวนมหาศาลจากปลายนิ้วของเขา
- การช็อตด้วยไฟฟ้าสถิต: ซุสสามารถส่งกระแสไฟฟ้าสถิตจำนวนมากผ่านร่างกายผู้อื่นเมื่อสัมผัส
- การต้านทานไฟฟ้า: ซุสมีภูมิคุ้มกันต่อไฟฟ้าทุกขนาดอย่างสมบูรณ์
- สายฟ้าประธาน (Master Bolt): อาวุธที่ทรงพลังที่สุดของซุส สายฟ้าหลักนั้นทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ (สร้างสายฟ้าสีขาวร้อนจัดจำนวนมากพร้อมกัน) ทำให้ระเบิดไฮโดรเจนดูเหมือนประทัดไปเลยเมื่อเทียบกัน เมื่อซุสขว้างมันใส่ไทฟอน การระเบิด "สว่างไสวไปทั่วโลก" เกือบจะทำให้สัตว์ประหลาดขนาดมหึมาเสียการทรงตัว และเพอร์ซีย์สามารถสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากระยะไกลหลายไมล์ ใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสใช้สายฟ้าหลักของเขาเพื่อทำลายเมืองแซลโมเนียให้หายไปในพริบตาหลังจากแซลโมเนอุสแกล้งทำเป็นซุส สุดท้าย สายฟ้าหลักของซุสถูกระบุว่าเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลก
- การควบคุมอากาศ (Aerokinesis): ในฐานะเทพแห่งท้องฟ้า ซุสสามารถควบคุมอากาศได้อย่างสมบูรณ์ เขามีพลังการควบคุมอากาศเช่นเดียวกับลูกชายของเขา เจสัน แต่ในระดับที่ก้าวหน้ากว่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เขาสามารถแสดงความสามารถต่างๆ
- การสร้างลม: ซุสสามารถสร้างพายุเฮอร์ริเคนและพายุทอร์นาโดที่ทรงพลังอย่างมหาศาลได้ตามต้องการ ตัวอย่างที่น่าสังเกตคือเมื่อเขาสร้างพายุฝนฟ้าคะนองขนาดใหญ่รอบๆ ภูเขาโอลิมปัส ใน Percy Jackson's Greek Gods ขณะพยายามเอาใจ เฮร่า
- เชือกลม: ดังที่เห็นใน The Blood of Olympus ในฐานะเจ้าแห่งท้องฟ้า ซุสมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือเทพเจ้าแห่งลมทั้ง 4 องค์ ซึ่งเขาได้ผูกมัดและบังคับไว้กับรถม้าศึกของเขาด้วยเชือกลมที่พันแน่นที่เขาสร้างขึ้นมา
- การหายใจเข้า: ใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสดูดเมติสเข้าไปในกระเพาะอาหารผ่านปากของเขาด้วยพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก
- การบิน: ซุสสามารถควบคุมกระแสลมรอบๆ ตัวเขาเพื่อลอยตัวและบินด้วยความเร็วสูง
- การควบคุมเมฆ (Nephelokinesis): ดังที่แสดงให้เห็นใน Percy Jackson's Greek Gods ซึ่งซุสสร้างแบบจำลองที่มีชีวิตที่แยกไม่ออกของ เฮร่า ขึ้นมาจากเมฆ ซึ่งต่อมาคิงอิกซิออนได้ล่อลวง ทำให้กำเนิดเซนทอร์ตัวแรก
- คลื่นอากาศ: ตามที่ เฮเฟตัส กล่าวไว้ อาณาเขตของซุสยังรวมถึงคลื่นอากาศด้วย เนื่องจากเขาสามารถตรวจจับวิทยุโจรสลัดของเฮเฟตัสใน The Lost Hero ได้
- การประทานความเป็นอมตะ: ซุสแสดงให้เห็นว่าสามารถประทานความเป็นอมตะได้ ดังที่เขาเสนอให้กับเพอร์ซีย์ใน The Last Olympian และเรียกมันว่า "ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากเทพเจ้า" เขาอาจจะประทานความเป็นอมตะให้กับลูกชายที่คู่ควรเช่น เฮอร์คิวลิส, ไดโอนีซุส เป็นต้น เขาประทานความเป็นอมตะให้กับ กานิมีด เนื่องจากความปรารถนาในวัยรุ่นคนนั้น
- การถอดถอนความเป็นอมตะ: นี่เป็นความสามารถที่น่ากลัวที่สุดของซุสอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เหมือนเทพองค์อื่นๆ ซุสสามารถถอดถอนความเป็นอมตะและพลังอำนาจของเทพองค์อื่นได้ เขาสามารถถอดถอนพลังของเทพองค์อื่นๆ แม้แต่เทพที่ทรงพลังอย่างโพไซดอนและอะพอลโล่ ซุสจะสามารถลดทอนพวกเขาให้เหลือเพียงมนุษย์ธรรมดา สิ่งนี้เห็นได้ใน The Trials of Apollo ซึ่งสถานะความเป็นเทพของอะพอลโล่ถูกถอดถอน และเขาต้องพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรที่จะได้รับมันคืน แม้ว่าอะพอลโล่จะสามารถใช้พลังเทพเจ้าเป็นช่วงๆ ได้ตลอดการทดสอบของเขา โดยความรุนแรงของพลังเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้ทำให้เขาเหนือกว่าพี่น้องของเขามาก
- การมองเห็นเหนือธรรมชาติ: ในฐานะเทพแห่งท้องฟ้า ซุสมีสายตาที่เฉียบคมอย่างเหลือเชื่อ ดังที่เห็นใน Percy Jackson's Greek Heroes เมื่อเขาสามารถมองเห็นดาแน่ซึ่งถูกขังอยู่ในห้องขังทองสัมฤทธิ์ใต้ดินได้ ต่อมาเขาสามารถซูมเข้าทางจิตและมองเห็นฟาเอทอนขับรถม้าสุริยะของ เฮลิออส ได้อย่างชัดเจน
- การควบคุมความสูง: ซุสสามารถเพิ่มความสูงของเขาได้อย่างมหาศาล ดังที่แสดงใน The Blood of Olympus เมื่อเขาเติบโตสูง 100 ฟุตก่อนที่จะขว้าง อาร์โก้ ทู ทั้งหมดจากเอเธนส์ไปยังค่ายฮาล์ฟบลัด ใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสเติบโตสูงขึ้นไปอีก จนสูงเป็นครึ่งหนึ่งของยักษ์พายุ ไทฟอน
- การควบคุมพืช (Chlorokinesis) (จำกัด): ใน Percy Jackson's Greek Gods เพื่อช่วย ฮาเดส ลักพาตัว เพอร์เซโฟเน่ ซุสทำให้โลกเกิดทุ่งดอกไม้ที่สวยงามหลายแห่ง แต่ละแห่งมีสีสันและกลิ่นหอมกว่าเดิม ดอกกุหลาบที่เขาทำให้เติบโตไม่มีหนาม และความงามและกลิ่นหอมของมันทำให้เพอร์เซโฟเน่มึนงงและล่อเธอให้ห่างจากผู้ดูแล สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะอยู่ในฐานะเทพแห่งท้องฟ้า ซุสก็มีการควบคุมโลกและธาตุธรรมชาติในระดับหนึ่ง
- ความรู้เรื่องพืช: ดังที่แสดงใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสมีความรู้กว้างขวางเกี่ยวกับคุณสมบัติของสมุนไพรและพืช ซึ่งเขาได้เรียนรู้จากเหล่านางไม้ที่เลี้ยงดูเขา ส่งผลให้เขาสามารถชงยาอาเจียนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง แก้วเดียวก็ทำให้โครนอสอาเจียนลูกๆ ทั้งห้าของเขาออกมาทั้งหมด (รวมถึงก้อนหินที่เรอาใช้ปลอมตัวเป็นเขาด้วย)
- การรักษาความบ้าคลั่ง: ใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสรักษาไดโอนีซุสจากความบ้าคลั่งที่เฮร่าก่อให้เกิด
- การควบคุมความยุติธรรม: ในฐานะเทพแห่งความยุติธรรมและเกียรติยศ ซุสควบคุมเทพองค์อื่นๆ โดยการป้องกันไม่ให้ความบาดหมางของพวกเขาบานปลายจนถึงขั้นมหาศาล และสร้างความมั่นใจในระเบียบโดยรวมของโลกโดยการตัดสินและบังคับใช้ความยุติธรรม ตัวอย่างที่ดีใน Percy Jackson's Greek Gods คือเมื่อซุสจัดการพิจารณาคดีโอลิมปัสครั้งแรกสำหรับการฆาตกรรม ฮาลิร์โรธิอุส ลูกชายของโพไซดอน โดย แอรีส โดยมีซุสเป็นหัวหน้าผู้พิพากษา ผลก็คือแอรีสพ้นผิดอย่างชอบธรรม
- การแปลงร่าง: ซุสมีความสามารถในการแปลงร่างมาโดยตลอด แม้กระทั่งแปลงร่างเป็นร่างยักษ์เพื่อหลอกลวงบิดาและไททันองค์อื่นๆ ต่อมา เขาแปลงร่างเป็นรูปร่างอื่นๆ บ่อยครั้งเพื่อล่อลวงผู้ที่เขาหลงรัก ดังที่แสดงใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสได้แปลงร่างเป็นสัตว์หลายชนิดเพื่อจีบผู้หญิงหลายคน (และบางครั้งก็ผู้ชาย) ซึ่งรวมถึงวัว (สำหรับยูโรปา), นกอินทรี (สำหรับ แกนีมีด), หงส์ (สำหรับลีดา), นกกาเหว่า (สำหรับ เฮร่า), มด (สำหรับยูรีเมดูซา), งู (สำหรับ ดีมิเทอร์), อาร์เทมีส (สำหรับคัลลิสโต), แอมฟิตรีออน (สำหรับอัลค์เมเน) และแม้กระทั่งฝนทองคำที่แพรวพราว (สำหรับเดฟเน่ใน Percy Jackson's Greek Heroes)
- การเปลี่ยนแปลงรูปร่าง: ใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสเปลี่ยนมดหลายพันตัวให้เป็นกองทัพนักรบมนุษย์ที่แข็งแกร่งและไม่เกรงกลัว (ซึ่งต่อมาจะรู้จักกันในชื่อ Myrmidones) ตามคำขอของไออาคัสลูกชายของเขา ต่อมาเขาก็ได้เปลี่ยนแฟนสาวของเขาไอโอให้กลายเป็นวัว, ไลคาออน เป็นมนุษย์หมาป่าตัวแรก และลูกสาวของเขา ธาเลีย เป็นต้นสน
- การเคลื่อนย้ายในพริบตา: ดังที่เห็นใน The Lightning Thief ซุสสามารถหายตัวไปได้ใน "แสงสายฟ้าที่เจิดจ้า"
- การควบคุมสัตว์: ซุสสามารถเรียกและควบคุมสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับเขาได้ ดังที่แสดงเมื่อเขาส่งนกอินทรีทองคำขนาดใหญ่ไปลงโทษโพรมีธีอุส ใน Percy Jackson's Greek Gods และต่อมาอีกตัวหนึ่งเพื่อช่วย ไซคี ใน Percy Jackson's Greek Heroes
- ทักษะความบันเทิง: ใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสถูกเปิดเผยว่าเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม สามารถร้องเพลง เต้นรำ และเล่าเรื่องตลกได้ ซึ่งเป็นทักษะทั้งหมดที่เขาได้รับจากคูเรเตสที่ช่วยเลี้ยงดูเขา การร้องเพลงของซุสกล่าวกันว่า "ใสราวกับลำธารบนภูเขาไอดา" และเรื่องตลกของเซเทอร์ของเขาตลกขบขันอย่างเหลือเชื่อ ทักษะความบันเทิงของเขาทำให้เขาสามารถเอาใจไททันส์ทั้งหมดที่ ภูเขาออธริส ได้ แม้แต่ โครนัส เองก็ตาม จนพวกเขาไม่มีข้อสงสัยในเจตนาที่แท้จริงของเขาเลย ซุสยังได้ใช้ทักษะเหล่านี้อีกครั้งเพื่อจีบพี่สาวที่สวยงามของเขา เฮร่า ใน The Chalice of the Gods ซุสจัดงานเลี้ยงอาหารเช้าให้กับเทพองค์อื่นๆ และเรอา แต่การเล่าเรื่องที่เกินจริงของเขาทำให้หลายคนรำคาญ โพไซดอนต่อมาได้เล่าให้เพอร์ซีย์ฟังว่าเขาจะไม่ยอมให้ใครจับได้ในงานเลี้ยงอาหารเช้าของพี่ชาย ซึ่งเพอร์ซีย์ก็ไม่สามารถตำหนิพ่อของเขาได้เลยหลังจากได้เห็นเพียงเล็กน้อย
- เครื่องจับเท็จ: ดังที่เห็นใน The Lightning Thief ซุสสามารถรับรู้ได้ว่า เพอร์ซีย์ กำลังพูดความจริง
คุณลักษณะ
- สายฟ้าประธาน (สัญลักษณ์)
- โล่เอจิส (สัญลักษณ์, ซึ่งเขาและอะธีน่าใช้สลับกันได้)
- นกอินทรี (สัตว์)
- คทา
- กระทิง
- ต้นโอ๊ก
นิรุกติศาสตร์
เรื่องน่ารู้
- ซุส อาจหมายถึง "กลางวัน" ในภาษากรีกโบราณ อย่างไรก็ตาม ตามที่เปิดเผยใน Percy Jackson's Greek Gods ก็สามารถหมายถึง "ส่องแสง" หรือ "ชีวิต" ได้ด้วย
- ซุส เป็นเทพโอลิมปัสผู้เฒ่าเพียงองค์เดียวที่ไม่ได้ถือกำเนิดบนภูเขาโอธริส เนื่องจากเขาเกิดในถ้ำที่ตีนเขาไอดาบนเกาะครีต
- ที่น่าสนใจคือ ดังที่แสดงใน Percy Jackson's Greek Gods ซุสเป็นเทพโอลิมปัสเพียงองค์เดียวที่เคยแปลงร่างเป็นเวอร์ชัน "ไททัน" เพื่อปลอมตัว
- ตามที่เปิดเผยใน Percy Jackson's Greek Gods ซุส เป็นนักร้องและนักเต้นที่ยอดเยี่ยม เขายังรู้ "เรื่องตลกของเซเทอร์" ที่ตลกขบขันอย่างเหลือเชื่ออีกด้วย
- การที่ซุสพยายามป้องกันไม่ให้คำพยากรณ์ยิ่งใหญ่ครั้งแรกเกิดขึ้น กลับเป็นสาเหตุที่ทำให้คำพยากรณ์ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในที่สุด:
1) เมื่อเขาพยายามสังหาร นิโค และ เบียงก้า ดิแอนเจโล่ เพื่อไม่ให้พวกเขากลายเป็นเดมิก็อดตามคำพยากรณ์ เขาก็ทำได้เพียงสังหารแม่ของพวกเขาเท่านั้น
2) เมื่อพยากรณ์แห่งเดลฟีบอกฮาเดสว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น เขาก็โกรธมากจนสาปเทพพยากรณ์ไม่ให้วิญญาณออกจากร่างของเธอตลอดไป - หลายทศวรรษต่อมา เมย์ คาสเทลแลน พยายามที่จะเป็นเทพพยากรณ์คนใหม่ แต่ล้มเหลวและเสียสติไป
- ลูกชายของเธอ ลุค คาสเทลแลน เกลียดพ่อของเขาที่ไม่เคยช่วยเหลือเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่แม่ของเขามีอาการคลุ้มคลั่ง
- ความเกลียดชังนี้ในที่สุดก็ขยายไปถึงเทพเจ้าทั้งหมด นำไปสู่เหตุการณ์ที่ปรากฏในชุด Percy Jackson and the Olympians
- ใน The Lost Hero โคลวิสกล่าวว่าซุสชอบชุดสูทสั่งตัด, รายการเรียลลิตี้ทีวี และ 'ร้านอาหารจีนที่ถนนอีสต์ ทเวนตี้-เอท สตรีท'
- กีฬาโอลิมปิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 776 ปีก่อนคริสตกาล เป็นชุดเทศกาลทางศาสนาในกรีกโบราณที่จัดขึ้นทุกสี่ปีเพื่อเป็นเกียรติแก่ ซุส
- ดาวพฤหัสบดี ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ ได้รับการตั้งชื่อตามเทพเจ้าคู่กันของซุสในโรมันคือ จูปิเตอร์ นอกจากนี้ ดวงจันทร์ทั้งหมดของดาวพฤหัสบดียังได้รับการตั้งชื่อตามคนรักของซุส
- ซุส ในร่างวัวเมื่อเขานำยูโรปาไป เป็นพื้นฐานของราศีพฤษภ
- ซุส เป็นเทพโอลิมปัสเพียงองค์เดียวที่ใช้อาวุธที่มนุษย์ไม่สามารถใช้ได้
- เทพเจ้าคู่กันของซุสในอียิปต์ (ในแง่ของอำนาจสูงสุด) คือรา แต่ในแง่ของคุณลักษณะแล้ว ซุสมีอะไรที่เหมือนกับอามุนมากกว่ามาก
- เทพเจ้าคู่กันของซุสในเทพปกรณัมนอร์ส (ในแง่ของอำนาจสูงสุด) คือโอดิน แต่ในแง่ของคุณลักษณะแล้ว ซุสมีอะไรที่เหมือนกับธอร์มากกว่ามาก ในศาสนาโบราณในประวัติศาสตร์จริง เขาอาจจะเป็นที่เปรียบได้กับทีร์ เนื่องจากทั้งคู่มีที่มาจากเทพเจ้าโปรโต-อินโด-ยูโรเปียนองค์เดียวกันคือ Dyḗus Ph2tḗr
- เทพเจ้าคู่กันของซุสในศาสนาฮินดูคืออินทรา
- เฮลิออส เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ของกรีก บางครั้งถูกเรียกว่า "ดวงตาของซุส"
- ดูเหมือนว่า ซุส/จูปิเตอร์ เป็นผู้ที่จำกัดเวลาที่เทพเจ้าจะอยู่กับคนรักที่เป็นมนุษย์ โดย จูปิเตอร์ แสดงความไม่พอใจเป็นพิเศษต่อเทพโรมันที่คบหาคนรักที่เป็นมนุษย์นานเกินไป
- มีการประกาศว่าในสงครามโลกครั้งที่สอง บุตรชายของ ซุส/จูปิเตอร์ และ โพไซดอน/เนปจูน เป็นผู้รับผิดชอบฝ่ายที่ชนะ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรับผิดชอบสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และจีน
- ดังนั้น เป็นไปได้ว่า แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์, วินสตัน เชอร์ชิล, โจเซฟ สตาลิน, จอร์จ มาร์แชล และ เจียง ไคเชก อาจเป็นบุตรชายของ ซุส/จูปิเตอร์
คำอธิบายทั่วไป
ลักษณะที่ปรากฏ


ชีวประวัติ
ในจักรวาลไรออร์แดน
ลักษณะรูปลักษณ์
บุคลิกภาพ
ความสามารถและพลัง
- การควบคุมบรรยากาศ (Atmokinesis): ควบคุมสภาพอากาศทั้งหมด รวมถึงการสร้างพายุฝนฟ้าคะนอง, พายุลูกเห็บ, พายุทอร์นาโด และพายุเฮอร์ริเคนการควบคุมไฟฟ้า (Electrokinesis): ควบคุมไฟฟ้าสถิตและสายฟ้า สามารถสร้างสายฟ้าอันทรงพลังได้ รวมถึง สายฟ้าหลัก ซึ่งเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลก เขามีภูมิคุ้มกันต่อไฟฟ้าทุกชนิ
- การควบคุมอากาศ (Aerokinesis): ควบคุมอากาศ สามารถสร้างลมพายุขนาดใหญ่ และใช้เชือกลมในการผูกมัดหรือควบคุมสิ่งต่างๆ เขาสามารถบินได้ด้วยการควบคุมกระแสลม
- พละกำลังมหาศาล: มีพละกำลังทางกายภาพที่เหลือเชื่อ สามารถยกและขว้างภูเขาทั้งลูกได้ และสามารถบดขยี้และกักขัง ไทฟอน ได้ด้วยตัวเอง
- การถอดถอนความเป็นอมตะ: นี่เป็นความสามารถที่น่ากลัวที่สุดของ จูปิเตอร์ คือเขาสามารถถอดถอนความเป็นอมตะและพลังอำนาจของเทพองค์อื่นได้ ทำให้พวกเขากลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ดังที่เคยทำกับ อะพอลโล่ ซึ่งทำให้เขาสูงส่งกว่าพี่น้อง
- การประทานความเป็นอมตะ: สามารถประทานความเป็นอมตะให้แก่ผู้อื่นได้
- การแปลงร่าง: มีความสามารถในการแปลงร่างได้หลากหลายรูปแบบ รวมถึงการแปลงเป็นสัตว์ต่างๆ เพื่อล่อลวงคนรัก หรือแปลงมนุษย์ให้เป็นสิ่งอื่น
- การมองเห็นเหนือธรรมชาติ: มีสายตาที่เฉียบคมอย่างเหลือเชื่อ
- การควบคุมความยุติธรรม: ในฐานะเทพแห่งความยุติธรรม เขาควบคุมความบาดหมางระหว่างเทพเจ้าและรักษาความสงบเรียบร้อยของโลก
- ทักษะความบันเทิง: เป็นนักร้องและนักเต้นที่ยอดเยี่ยม และรู้จักเรื่องตลกของฟอนนัสมากมาย
คุณลักษณะ
- สายฟ้าประธาน (สัญลักษณ์)
- โล่เอจิส (สัญลักษณ์, ซึ่งเขาและมิเนอร์วาใช้สลับกันได้)
- นกอินทรี (สัตว์)
- คทา
นิรุกติศาสตร์
Dyeu- หรือ Dyēus เป็นรากศัพท์โปรโต-อินโด-ยูโรเปียน ที่หมายถึง "ท้องฟ้า" หรือ "ความสว่างไสว" และยังเป็นที่มาของชื่อเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าสูงสุดในเทพปกรณัมอื่นๆ เช่น ซุส (Zeus) ในภาษากรีก (มาจาก Dyēus) และ ทีร์ (Týr) ในเทพปกรณัมนอร์ส
pater เป็นคำภาษาละตินที่หมายถึง "พ่อ" ซึ่งเป็นคำที่พบได้บ่อยในชื่อเทพเจ้าสูงสุดที่ทำหน้าที่เป็นบิดาแห่งเทพเจ้าและมนุษย์
ดังนั้น ชื่อ จูปิเตอร์ จึงสื่อถึงบทบาทของเขาในฐานะเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแห่งท้องฟ้าและเป็นบิดาของทวยเทพและมนุษย์ในเทพปกรณัมโรมัน
เรื่องน่ารู้
- บุคลิกที่แตกต่าง: แม้ว่า จูปิเตอร์ จะเป็นภาคโรมันของ ซุส แต่บุคลิกของเขานั้นเข้มงวด มีระเบียบวินัย เป็นนักรบ มีความรับผิดชอบ และใจเย็นกว่า ซุส ซึ่งชาวกรีกมองว่าทรงพลังแต่ก็หยิ่งผยองและเจ้าอารมณ์กว่ามาก โดย จูปิเตอร์ จะเน้นที่การปกป้องรัฐ ครอบครัว และกฎหมายเป็นสำคัญ
- คำสาบานของ "บิ๊กทรี": ใน Riordanverse ชี้ให้เห็นว่าคำสาบานของ "บิ๊กทรี" ที่จะไม่ให้กำเนิดบุตรเดมิก็อดอีกนั้น น่าจะมีผลเฉพาะกับภาคกรีก ของเทพเจ้าเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า จูปิเตอร์ สามารถมีบุตรได้โดยไม่ถือเป็นการทำลายคำสาบานที่ ซุส ทำไว้กับ โพไซดอน และ ฮาเดส นี่อธิบายถึงการมีอยู่ของ เจสัน เกรซ บุตรชายของ จูปิเตอร์
- การแทรกแซงโดยตรง: แม้ว่า ซุส จะออกคำสั่งห้ามเทพเจ้าเข้ายุ่งเกี่ยวกับกิจการของมนุษย์ แต่ จูปิเตอร์ แสดงให้เห็นถึงการเข้าแทรกแซงโดยตรงเพื่อช่วยเหลือบุตรของตน ดังเช่นที่เขาส่งสายฟ้าลงมาช่วย เจสัน เกรซ ในการต่อสู้กับ เอนเซลาดัส ซึ่งแสดงถึงความรับผิดชอบและความผูกพันกับบุตรในแบบของโรมัน
- วิหารที่แคปปิโตไลน์: จูปิเตอร์มีวิหารหลักที่สำคัญที่สุดบนเนินเขาแคปปิโตไลน์ในกรุงโรม ซึ่งไม่เพียงเป็นศูนย์กลางทางศาสนา แต่ยังเป็นศูนย์กลางของชีวิตทางการเมืองโรมัน ที่มีการลงนามสนธิสัญญาและการประกาศสงคราม
- นามเรียกขาน: นอกจากชื่อ จูปิเตอร์ แล้ว เขายังถูกเรียกว่า โจฟ (Jove) อีกด้วย ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากรูปแบบทางไวยากรณ์ของคำในภาษาละติน
- เทพแห่งกฎหมายและคำสาบาน: จูปิเตอร์มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับกฎหมาย ความยุติธรรม และคำสาบาน เขามักจะได้รับการอัญเชิญเมื่อมีการสาบานตนหรือลงนามในสนธิสัญญา
- ความสำคัญทางการเมือง: จูปิเตอร์มีความสำคัญต่อชาวโรมันในฐานะเทพผู้ปกป้องรัฐและสังคมอย่างยิ่ง แตกต่างจาก ซุส ที่มักถูกเชื่อมโยงกับชนชั้นสูงเท่านั้น ดังนั้น จูปิเตอร์ จึงเป็นเทพของพลเมืองทุกคน และบทบาทของเขาก็ซับซ้อนและสำคัญยิ่งขึ้นเมื่อสาธารณรัฐโรมันก่อตั้งขึ้น
- การเชื่อมโยงกับดวงดาว: จูปิเตอร์เป็นชื่อของดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ และดวงจันทร์ทั้งหมดของดาวพฤหัสบดีก็ได้รับการตั้งชื่อตามคนรักของ ซุส/จูปิเตอร์
- รสนิยมสมัยใหม่: ใน The Lost Hero โคลวิสกล่าวว่า จูปิเตอร์ ชอบชุดสูทสั่งตัด, รายการเรียลลิตี้ทีวี และร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง
- การปราบปรามการเผยแพร่คำทำนาย: จูปิเตอร์คือผู้ที่ส่ง ฮาร์ปี้ ไปกันอาหารและเครื่องดื่มจาก ฟิเนียส เพื่อเป็นการลงโทษที่เขาเผยแพร่เจตนาของเทพเจ้าแก่มนุษย์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่ต้องการให้มนุษย์ล่วงรู้เรื่องราวศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป